แบงก์อิสลามเตรียมรับโอนเม็ดเงินจาก กบข.ของข้าราชการอิสลามทั่วประเทศ เหตุผลตอบแทนดึงดูดกว่า
ล่าสุด Q1 ปีนี้จ่ายปันผล 1.7-1.8% เชื่อขณะนี้ทะลุ 2% ล่าสุดเจรจาควบรวมแบงก์ชาริอะฮ์จากกรุงไทย
คาดเป็นรูปร่างภายใน 5 เดือน พร้อมจับมือเซเว่น ปั๊มน้ำมัน เปิดจุดบริการรับฝาก-ชำระเงิน
เสริมฐานลูกค้า ศุกร์นี้เซ็นสัญญากับกองทุน MFC ระดมทุนสร้างบ้านเอื้ออาทรบนที่ดินวากัฟ
นายอารีย์ วงศ์อารยะ ประธานกรรมการธนาคารอิสลาม เปิดเผยว่า ทางธนาคารอยู่ระหว่างเตรียมรับโอนเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในส่วนของข้าราชการมุสลิมทั่วประเทศ ซึ่งเดิมลงทุนอยู่ในธนาคารกรุงไทยมาลงทุนในธนาคารอิสลามแทน
เนื่องจากข้าราชการอิสลามเห็นว่า หาก กบข. นำเงินมาลงทุนในธนาคารอิสลามน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
เนื่องจากมีหลายปัจจัยเอื้อ อาทิ โครงสร้างการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ขนาดของสำนักงานเล็กซึ่งช่วยประหยัดต้นทุน
และบริหารเงินโดยการลงทุน เป็นต้น
โดยวิธีการจะเป็นการโอนมาทั้งก้อน แต่การลงทุนยังต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของ กบข.เป็น
หลัก ซึ่งจะไม่กระทบกับการดำเนินงานของธนาคารชาริอะฮ์ของธนาคารกรุงไทย เพราะอนาคตจะนำมารวมไว้กับธนาคารอิสลาม ซึ่งคาดว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างภายใน 5 เดือนนี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังติดระเบียบเรื่องการโอน
ซึ่งที่ผ่านมาทางธนาคารได้เสนอให้มีการโอนในลักษณะเดียวกับรถมือสอง คือ ยังไม่โอนจริง
แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากธนาคารอิสลามมีกฎระเบียบที่เคร่งครัดมาก
นอกจากนี้ ทางธนาคารได้มีแผนที่จะเปิดจุดบริการในร้านสะดวกซื้อ อย่างเซเว่นอีเลฟเว่น
และปั้มน้ำมัน ซึ่งอยู่ในระหว่างการทำข้อตกลงกันอยู่ คาดว่าในส่วนของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นจะเปิดจุดบริการได้ภายใน
1-2 เดือน ส่วนปั๊มน้ำมันเตรียมเจรจาอยู่ และยังมีแผนที่จะเปิดจุดบริการในห้างสรรพสินค้าด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีแผนที่จะเพิ่มสาขาอีก 50 สาขา ภายใน 5 ปี โดยในปี 2547 จะเปิดสาขา
10 สาขา คือ สาขาภูเก็ต สาทร มีนบุรี พังงา พระนครศรีอยุธยา สุไหงโก-ลก กระบี่
บางบัวทอง พัทยา ชลบุรี และเชียงใหม่
นายอารีย์ ยังได้กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2546 ว่า ธนาคารสามารถแบ่งปันผลตอบแทนให้ผู้ฝากประเภทร่วมทุนสูงสุดถึง 2.7% และการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี
2546 ธนาคารเริ่มจ่ายปันผลครั้งแรก 0.5% ไตรมาสสุดท้ายปี 46 จ่ายปันผล 1.6% และไตรมาสแรกปีนี้จ่ายปันผลแล้ว
1.6-1.7% ขณะที่คาดว่าขณะนี้ผลตอบแทนน่าจะเพิ่มสูงกว่า 2% แล้ว นอกจากนี้ยังล้างขาดทุนสะสมลดลงเรื่อยๆ
จากปีก่อนที่ขาดทุนสูงถึง 50 ล้านบาท จากการนำเงินไปลงทุนในการก่อสร้างในปีแรก
รวมทั้งการใช้จ่ายในด้านการพัฒนาบุคคล และเทคโนโลยีด้วย คาดว่าจะสามารถกลับมาทำกำไรได้ในปี
2547 นี้
นายอนันต์ ตังทัตสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า
ในวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2546 จะมีการเซ็นสัญญาร่วมกับกองทุนเอ็มเอฟซี เปิดตัวโครงการบ้านเอื้ออาทรเขตมีนบุรี
ระดมทุนจำนวน 200-300 ล้านบาท เพื่อสร้างบ้านเอื้ออาทรบนพื้นที่ วากัฟ หรือ ที่ดินบริจาคเพื่อการกุศล
พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการดังกล่าวทั่วไปอย่างเป็นทางการด้วย
นายอารีย์ กล่าวว่า การควบรวมของทั้ง 2 ธนาคารนั้น ทางธนาคารอิสลามได้ตั้งตัวแทนขึ้นมาดูแลในเรื่องดังกล่าวแล้ว
ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ในระหว่างการทำสำรวจสินทรัพย์และหนี้สิน(ดิว ดิลิเจนต์)ของธนาคารทั้ง
2 ฝ่ายอยู่ โดยคาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จสิ้นภายในปีนี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ในการควบรวมกิจการดังกล่าวจะใช้สูตร
A+B = A โดยจะใช้ธนาคารอิสลามเป็นแกน
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในความเป็นจริง ธนาคารชาริอะฮ์ นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินหนึ่งของธนาคารกรุงไทย ในรูปแบบหนึ่งธนาคารสองระบบ ซึ่งเหมือนกับประเทศมาเลเซีย ในขณะที่ธนาคารอิสลามฯนั้นเป็นธนาคารเฉพาะกิจ
การที่จะให้ทำการควบรวมนั้นต้องทำการเพิ่มทุนในธนาคารอิสลามฯก่อน เพราะปัจจุบัน
ธนาคารชาริอะฮ์ มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท มีเงินฝากกว่า 4,000 ล้านบาท มีสินทรัพย์กว่า
5,000 ล้านบาท มีสาขา 20 สาขา เฉลี่ย 1 สาขาใช้พนักงานประมาณ 7 คน โดยรวมมีพนักงานประมาณ
300 คน โดยในเดือนก.ค.2547 นี้ธนาคารชาริอะฮ์ จะมีอายุครบ 2 ปีแล้ว
สำหรับผลการดำเนินงานนั้นจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายในปี 2548 จากเดิมที่คาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมได้ภายในปี 2547 เหตุผลที่ต้องล่าช้าออกไปเนื่องจากสถานการณ์ภาคใต้ไม่ปกติ และกลุ่มลูกค้าหลักของธนาคารชาริอะฮ์
ก็อยู่ภาคใต้เป็นส่วนใหญ่