บิ๊กบลจ.ทหารไทย ยอมรับ ควบ TMB-DTDB-IFCT ส่งแผนขยายธุรกิจบลจ.ทหารไทยชะลอตัวเล็กน้อย
แต่มั่นใจ ปีนี้ NAV เติบโตตามเป้า 20% เหตุหลังรวมเสร็จได้สาขาและฐานลูกค้าเพิ่มจากดีบีเอสไทยทนุ
นอกจากนั้น ปรับกลยุทธ์การบริหารใหม่ เตรียมออกกองทุนหลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า
ด้านภาพรวมเศรษฐกิจยังมีมุมมองเป็นบวก แม้เกิดวิกฤตน้ำมัน-ดอกเบี้ย เชื่อธุรกิจไทยเพิ่งเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้น
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย
จำกัด กล่าวว่า บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของบลจ.ทหารไทยจะโตประมาณ
20% จากสิ้น ปี 2546 ที่มี NAV 50,000 ล้านบาท แม้ขณะนี้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารและมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากต้นปีมากนัก
ทั้งนี้ นอกจากความผันผวนของการลงทุนในตลาดการเงิน ทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นที่เป็นปัจจัยขัดขวางให้บริษัทไม่สามารถขยายตัวตามเป้าได้เร็วแล้ว
ปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบอย่างมากคือการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย ที่เป็นบริษัทแม่คือธนาคารทหารไทย
(TMB) กับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ (DTDB) และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(IFCT) ที่ยังไม่เรียบร้อยทำให้การขยายงานด้านการขายกองทุนรวมไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
โดยปัจจุบันบริษัทกระจายการขายหน่วยลงทุนผ่านธนาคารทหารไทยอยู่ 80%
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการควบรวมกิจการเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะได้ประโยชน์จากการที่มีช่องทางการขายเพิ่มมากขึ้นจากสาขาของธนาคาร
ดีบีเอส ไทยทนุ อีกประมาน 60 สาขา ที่เมื่อรวมกับสาขาของธนาคารทหารไทยเดิมที่มีอยู่ประมาณ
400 สาขา จะทำให้บริษัทมีสาขาเพิ่มเป็นเกือบ 500 สาขา ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและจำนวน
เม็ดเงินในการลงทุนผ่านกองทุนรวมของบริษัทให้เพิ่มมากขึ้นตามเป้าหมายในปลายปีได้
นอกจากนี้ยังอาจจะได้ผลประโยชน์จากการปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรใหม่ ที่จะทำให้สินค้าของบริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น
นางโชติมา กล่าวต่อว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การบริหารกองทุนใหม่ด้วยการเตรียมออกกองทุนที่มีลักษณะการลงทุนที่หลากหลายให้นักลงทุนเลือกลงทุนในปีนี้อีก
6-7 กองทุน หากการลงทุนในตลาดหุ้นมีทิศทางการลงทุนที่ดีขึ้น คาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มขนาดสินทรัพย์ได้ตามเป้าหมาย
โดยปัจจุบันบลจ.ทหารไทยมีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ระดับ 8.89% ซึ่งถือเป็นอันดับ 3 ในธุรกิจกองทุนรวม
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์สำหรับกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ โดยได้มีการกำหนดอายุการลงทุนที่ชัดเจนขึ้นเพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความต้องการ
เช่น กองทุน 7/49 เป็น กองทุนปิดที่มีอายุกองทุนประมาน 2 ปีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาน
2.75% ต่อปี สามารถระดมเงินลงทุนได้ประมาน 1 พันล้านบาท กองทุน 1/51 เป็นกองทุนปิดที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ตลอดแต่ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ก่อนครบกำหนดอายุกองทุน
ที่ 3.5 ปี ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนสูง ซึ่งจะทำการเสนอขายต่อนักลงทุนระหว่างวันที่
7-10 มิ.ย.นี้ และกองทุน 9/49 เป็นกองทุนปิดที่มีอายุโครงการประ-มาณ 2 ปี อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ
2.75% ต่อปี อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ยังมีข้อจำกัดจากความไม่สมดุลของตลาดรอง
แม้จะมีสินค้าในตลาดแรกแต่ในตลาดรองกลับขาดสภาพคล่อง นอกจากนั้น บริษัทยังมีกองทุน
SET 50 ปันผล เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักลงทุนสถาบัน ที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี
นางโชติมา กล่าวถึงแผนการออกกองทุนคุ้มครองเงินต้นว่า กองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนแบบผสมระหว่างตราสารหนี้กับตราสารทุน
โดยจะนำผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้มาลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภทออปชัน ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นหากราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น
และเมื่อครบอายุไถ่ถอนก็อาจจะได้ประโยชน์จากการถือหุ้นดังกล่าวได้ โดยกองทุนนี้เดิมจะสามารถออกเสนอขายได้ในปีนี้
และมีอายุการลงทุนประมาน 3 ปี แต่ต้องเลื่อนออกไปก่อนเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือ ก.ล.ต.มีประกาศให้การดำเนินการซื้อขายในตราสารทุนประเภทออปชัน จะต้องมีใบอนุญาตที่เฉพาะเจาะจงในตราสารดังกล่าวก่อน
นอกจากนี้ตลาดหุ้นเองก็ยังผันผวนมาก ทำให้มูลค่าออปชันสูงเกินไปด้วย จึงจะต้องศึกษารายละเอียดการลงทุนในกองทุนดังกล่าวอย่างรอบคอบอีกครั้ง
รวมถึงศึกษาความต้องการลงทุนในกองทุนดังกล่าวของนักลงทุนก่อนด้วย
ส่วนกองทุนหุ้นระยะยาวที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้นได้รับความสนใจจากนักลงทุน
ค่อนข้างมาก แต่คาดว่าการเติบโตของกองทุนนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการเติบโตของกองทุน
RMF และเชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนมีการบริหารการลงทุนที่ดีขึ้นด้วย
นางโชติกา กล่าวต่อว่า บลจ.ทหารไทยยังคงมีมุมมองที่ดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากเชื่อว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากไปกว่านี้
ส่วนการที่จีนประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจนั้นก็เป็นเพียงการเติบโตในอัตราที่ลดลงเท่านั้น
ไม่น่าจะมีผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยมากนัก
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวยังคงมีความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นแต่ในระยะสั้นนี้ยังไม่น่ากังวลเท่าใดนัก
เนื่องจากเชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำได้ในกรอบที่จำกัดมาก และเศรษฐกิจสหรัฐฯก็เพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นานนัก
นอกจากนี้ จากการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยก็ยังอยู่ในระยะต้นของวัฏจักรธุรกิจ
เชื่อว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความผันผวนต่างๆ ได้
ทั้งนี้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัทก็ยังไม่มีการขายตัดขาดทุนแต่อย่างใด