Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2547








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2547
What Matters Most             
 





บริษัทกับความรับผิดชอบต่อสังคม

หลายคนอาจจะคิดว่า แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท ริเริ่มโดยบริษัทอย่าง Ben & Jerry's หรือ The Body Shop แต่ความจริงแล้ว แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ Jeffrey Hollender ชี้ว่า บริษัท Quakers ได้เริ่มคัดกรองธุรกิจที่บริษัทเข้าไปลงทุน ด้วยการใช้หลักเกณฑ์ด้านศีลธรรมจรรยา มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 แล้ว โดย Quakers จะถอนการลงทุนในธุรกิจที่แสวงหากำไรในทางที่บริษัทไม่เห็นด้วย

แต่บริษัทที่ยึดแนวทางเดียวกับ Quakers มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แม้กระทั่งเมื่อเวลาล่วงมาถึงศตวรรษที่ 20 ก็ยังคงมีผู้ที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า "ความโลภเป็นสิ่งที่ดี" อย่าง Milton Friedman โดย Friedman ระบุในหนังสือชื่อ Capitalism and Freedom ที่เขาเขียนขึ้นในปี 1963 ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งที่ทำลายบริษัท พร้อมทั้งระบุด้วยว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมเพียงอย่างเดียวที่ธุรกิจควรมีคือ "การเข้าแข่งขันกับคู่แข่งอย่างเปิดเผยและเสรี โดยปราศจากการหลอกลวงหรือฉ้อโกง" เท่านั้น Friedman ยังชี้ด้วยว่า เมื่อใดที่บริษัทเริ่มเชื่อว่า ตนต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมแล้วไซร้ นั่นคือจุดจบของความเป็นอิสระของบริษัท และจะต้องถูกครอบงำด้วยกฎเหล็กของรัฐสิ่งที่สำคัญที่สุด

แต่ Hollender คัดค้านความคิดที่ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท จะบ่อนทำลายระบบทุนนิยม Hollender ชี้ว่า บริษัทอย่าง Ben & Jerry's Homemade Inc และ Stonyfield Farm (ผลิตโยเกิร์ตแบบอินทรีย์) ต่างก็ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างงดงาม โดยต่างเป็นแบรนด์ระดับโลก และภายหลังยังถูกซื้อไปโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ Unilever ของเนเธอร์แลนด์ กับ Danone ของฝรั่งเศสตามลำดับ Gary Hirshberg ผู้ก่อตั้ง Stonyfield ยืนยันว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมทำให้ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จ

ส่วนศาสตราจารย์ Lynn Sharp Paine แห่ง Harvard ชี้ว่า สังคมจะไม่สามารถอยู่รอด หากเรายอมยกเว้นให้บริษัท ซึ่งเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดและมีจำนวนมากที่สุดในสังคมสมัย ไม่จำเป็นต้องมีศีลธรรมจรรยา ยิ่งโดยเฉพาะในโลกทุกวันนี้ ที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เพียงแค่แห่งเดียว ก็มีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่ารายได้ประชาชาติของหลายประเทศรวมกัน เราก็ยิ่งต้องเรียกร้องความรับผิดชอบต่อสังคมจากบริษัทมากยิ่งขึ้น ตามอำนาจที่เพิ่มสูงขึ้นของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านั้น

นอกจากนี้ Hollender ยังไม่เห็นด้วยกับ Friedman ที่ว่า รัฐบาลเป็นแหล่งเดียว ที่สามารถจะกดดันบริษัทให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมได้ แต่ลูกค้าก็เป็นฝ่ายสำคัญ ที่ให้ความสนใจกับวิธีการได้มาซึ่งกำไรของบริษัทเช่นกัน และผลก็คือ ปัจจัยตัวใหม่ที่เป็นแรงกดดันที่อ่อนไหวที่สุด ที่ทำให้บริษัทต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ก็คือ "ชื่อเสียง" หรือค่าความนิยม (good will) ที่ปรากฏอยู่ในงบดุลของบริษัทนั่นเอง จุดนี้เองที่ทำให้บริษัทเริ่มตระหนักแล้วว่า ชื่อเสียง เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด อย่างที่อย่างโรงงานอันใหญ่โตหรืออาคารสำนักงานอันหรูหราไม่อาจจะเทียบได้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us