มองไปรอบๆ ตัวช่วงนี้ไม่ค่อยมีข่าวที่อ่านแล้วสบายใจเลย ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ในอิรัก และที่ต่างๆ ล้วนเป็นข่าวการลอบสังหาร ฆ่าฟัน ทรมานกันและกันของสัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นตัวแสดงให้เห็นถึงการเสื่อมของสังคม สังคมที่มีความสุขน้อยลง
ความผิดชอบชั่วดีไม่มีให้เห็นแล้ว ทุกอย่างโดยโน้มน้าวบงการโดยเงินและอำนาจ
มีกี่ครั้งที่เราอ่านข่าว ฟังข่าวแล้ว มีความหวังว่าสักวันจะดีขึ้น เรามีเวลาคิดเท่าไรกันจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องคิดว่าจะทำอะไรเพื่อตัวเองต่อไปดี
ครับ สังคมทุนนิยมทำให้ คนมีความเป็นปัจเจกชนมากขึ้น ทุกอย่างที่ไม่ดีก็เริ่มชาชินมากขึ้น
พร้อมๆ กับความเหงาที่เพิ่มขึ้นมาของ ผู้คนในสังคมเมือง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยวลอนดอนเพื่อเยี่ยมเพื่อนๆ ผมทั้งที่ยังเรียนอยู่
และทำงานแล้ว เพื่อนผมที่อยู่ลอนดอน ส่วนมากนั้นล้วนทำงานในบริษัท Investment
Banking หรือไม่ก็ Law firm ใน City of London เท่าที่สัมผัสมาสังคมของพวกเขาล้วนว่างเปล่า
รอยยิ้มที่ผมเคยเห็นเคยสัมผัสนั้นหายไป พวกเขามนุษย์เงินเดือนทำงานหนัก ค่าตอบแทนหนัก
แล้วส่วนมากอยู่คนเดียว เวลาว่างอันน้อยนิดก็ทานอาหารในภัตตาคารหรู trendy
เช่น Nobu, Zuma และ Ivy แล้วก็เที่ยวในคลับใน บาร์หรู
การทำงานแบบเจ็ดวันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ตี 5-สี่ทุ่มไม่ได้ช่วยให้เพื่อนซี้เก่าของผม
อย่าง James มีความสุขมากนัก ร่างกายของเขาดูอิดโรย ตาแดงก่ำเพราะอดนอน ซึ่งไม่ต่างจาก
Maki เพื่อนสาวญี่ปุ่น และ Flora และ Jenny สาวหมวยสุดฮอต ที่เรานัดกันมาผ่อนคลายในคืนวันศุกร์
ณ ร้านอาหารฝรั่งเศสแบบโมร็อกโกแห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่ฮิตสุดๆ แต่เริ่มเสื่อมความนิยม
(แต่ก็ยังจองล้นกันอยู่ดี) พวกเขาเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่เหนื่อยแทบขาดใจ รวมถึง
deal ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการเงิน เราคุยกันถูกคอเหมือนก่อน สิ่งที่หายไปคือแววตาแห่งความหวังและความฝัน
ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับโลกอันหนักหน่วงแห่งนี้
มาร์ตินี่แก้วละเก้าปอนด์ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด พวกเขาเล่าให้ฟังถึงคืนวันที่หายไปกับเหตุการณ์แข่งขันทารุณกันใน
office กับค่าตอบแทน ที่ทำให้เขาทนอยู่ และอีกหลายๆ คนพยายามจะทน! การที่พวกเขาเลือกทางเดินของตนเองแล้วพวกเขาได้อะไร?
นอกจากความอิ่มอกอิ่มใจชั่วครู่ บรรยากาศคุ้นๆ นี้ทำให้ผมย้อนคิดว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแล้ว
ภาพต่างๆ ก็บรรเจิดขึ้นในใจ ใช่แล้วสมัยที่ผมไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นบรรยากาศในโตเกียวก็เป็นเช่นนี้แล้วถ้าจะนับกันจริงๆ
กรุงเทพฯ ของเราก็แทบจะไม่แตกต่าง เพียงแต่อาจจะบางเบากว่าหน่อย
ทำไมผมถึงเพิ่งรู้สึกล่ะ? นั่นอาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยมองเข้าไปจริงๆ เพราะว่าผมรู้สึกว่าตัวผมเองไม่ได้อยู่ในสังคมนั้นจนถึงตอนนี้
เป็นเวลาที่ผมต้อง เริ่มเข้าไปเป็นฟันเฟืองของสังคม ดังเช่นมนุษย์อื่นๆ ซึ่งถึงเวลาที่ต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบ
ระบบที่ทำให้คนลืมความฝัน เหงา แล้วมองเห็นอนาคตที่ต้องแข่งขันเพื่อเป็นผู้มีชีวิตรอด!
Theme ต่างๆ ที่สามารถค้นพบจากหลักฐานทางวัฒนธรรมจากหนังของ Wong Ka Wai
ทั้งหลาย รวมถึงหนัง Holly- wood เลียนแบบกลิ่นอายของ Mr.Wong เช่น Lost
in Translation ถ้ากลับมามองแบบไทยๆ ก็จะเห็นเพลงเหงาของ Peacemaker รวมถึง
Sexphone คลื่นเหงาสาวข้างบ้าน หนังของบริษัทเทปแห่งหนึ่ง
ความเหนื่อย เหงา กดดัน เหลื่อมล้ำ แข่งขันของสังคม ทำให้คนมีความทุกข์
มีสิ่งอำนวยความสะดวก บันเทิงรอบตัว แต่ว่างเปล่า ไร้ที่ยึดเหนี่ยว สับสนว่าอะไรถูกผิด
คนธรรมดาในสังคมจึงมีความทุกข์ ความทุกข์ของคนธรรมดาในสังคมจึงเป็นส่วนหนึ่งของความล้มเหลวของระบบทุนนิยม
ที่จะทำให้คนมีความสุข แล้วนับประสาอะไรกับผู้คนที่โดนกดดันล่ะครับ คนที่ไม่มีโอกาสหรือโดนบังคับให้เปลี่ยนความเชื่อ
เขาจะมีความสุขได้อย่างไร?
ปัญหาจึงเกิดเพราะความไม่เข้าใจและไม่สนใจ การแข่งขันที่เพิ่มสัญชาตญาณดิบของการทำลายและช่วงชิง
อเมริกาที่ยึดอิรักด้วยเหตุผลที่พยายามปั้นแต่ง ว่าเป็นผู้พิทักษ์โลก ทั้งๆ
ที่รู้ว่าไปบุกเพราะอะไร (ทำไมไม่บุกเกาหลีเหนือด้วยล่ะครับ?) ภาพที่ยึดเขาแล้วทรมานนักโทษอย่างสุขสันต์
การที่ไม่มีใครกล้าหือ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่แตกต่างกับการเข่นฆ่าแย่งชิงกันในตลาดหุ้น
ยึดบริษัทต่างๆ (รวมถึงประเทศ) กลืนกินจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยกันโดยสิ่งของเย้ายวนใจ
ทาง technology ให้อีกฝ่ายตกเป็นทาสทางสังคมวัฒนธรรมเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง
อิสรภาพหายไปคนจึงทุกข์ สังคมจึงถอยลง นักการเมืองฝ่ายทุนนิยมจัด เช่น George
W. Bush จึงอยู่ในขาลง นี่คือช่วงขาลงของทุนนิยม แต่โลกคง จะออกจากวังวนนี้ไม่ได้แล้วเพราะมันช่างหอมหวนโลกกำลัง
self destruction สิ่งยึดเหนี่ยวใหม่ๆ เช่น ลัทธิ Scientology, รถยนต์, ความดัง
การยอมรับจึงเป็นที่แสวงหาของคนยุคนี้ที่เปลี่ยนตัวเองไม่ได้ แต่ต้องการดำรงอยู่โดยไม่รู้สึกผิด
เป็นกระแสหลอกตัวเอง และหนีปัญหา บางทีสิ่งที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับระบบและเดินตามเกม
แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า คนเราน่าจะพยายามมองย้อนกลับไปหาสิ่งที่เราจากมา
ธรรมชาติ ความเอื้ออาทร ความสบายใจแบบบางเบา อิ่มเอิบ เป็นสิ่งที่ทดแทนไม่ได้
โลกแบบตะวันตกอาจจะไม่เหมาะกับประเทศไทย... แต่อะไรล่ะที่เหมาะ? ถ้าเราช่วยกันคิด
สักวันหนึ่งเราคงได้รับรู้