"Stores disconnect cell-phone users" เป็นพาดหัวข่าวใน Chicago Tribune โดย Paul
Brownfield เป็นเรื่องของพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของลูกค้าที่พนักงานร้านค้าต่างๆ
เกิดความไม่สะดวกในการให้บริการ หลังจากที่อ่านจนจบ ก็อดขำไม่ได้ เมื่อนึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยต่อคิวรอซื้อไอศกรีม
ท่ามกลางลูกเล็กเด็กแดงที่วิ่งวนกันอยู่หน้าตู้ไอศกรีม ร้านก็แคบ คนก็เยอะ
ครอบครัวนี้เข้ามาก่อนแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ ฝ่ายคุณแม่ก็กำลังคุยโทรศัพท์
โดยใช้อุปกรณ์ Head Set และ Hand Free...ดูเหมือนจะช่วย แต่ในทางตรงกันข้าม
พนักงานขายต้องพยายามสื่อสารกับเธอว่าต้องการไอศกรีมแบบไหน ขณะเดียวกันก็ต้องเดาว่า
เธอสื่อสารด้วยหรือเธอสื่อสารกับคนที่ปลายสาย ส่วนพวกเราที่ยืนคอยอยู่ข้างหลังก็ได้แต่กรอกตาไปมา
คิดว่าเมื่อไรเธอจะวางหูและจัดการสั่งไอศกรีมและขนเอาลูกหลานของเธอออกไปจากร้าน
เพื่อคนอื่นจะได้สั่งบ้าง...
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ไม่เคยคิดว่าทางร้านค้าที่ให้บริการเองจะเกิดความหงุดหงิดด้วย
แต่แล้วในที่สุดก็เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าที่ร้าน Manhattan Bagel ในเมือง
Santa Monica มลรัฐ Los Angeles ติดป้าย "In order to serve you properly,
we cannot take your order while on a cell phone. Thanks you..." เขียนด้วยลายมืออ่านง่ายได้
ความหมายเคลียร์ว่า "กรุณาอย่าคุยมือถือ ขณะสั่งอาหาร" เพราะ ฉันไม่เข้าใจว่าคุณต้องการจะรับประทาน
อะไรเป็นอาหารกลางวัน... ชายหนุ่ม หญิงสาว หรือ Hot Dog...
ตามรายงานกล่าวว่า ป้ายทำนองนี้ไม่ได้มีที่ Manhattan Bagel เพียงแห่งเดียว
หากแต่กำลังเพิ่มขึ้นในอีกหลายร้านค้าในแอลเอ เช่น ร้าน Sushi Bar ร้านเสื้อผ้าชื่อ
Zipper ที่ติดป้ายไว้หน้าร้านว่า "กรุณาแสดงความสุภาพต่อลูกค้าคนอื่นด้วยการปิดมือถือขณะชอปปิ้ง"
หลังจากที่เจ้าของร้านได้ยินข้อความที่ลูกค้าคุยกับปลายสายเกี่ยวกับเรื่องหมิ่นเหม่บนเตียง!!!
ร้านค้าเหล่านี้จำเป็นต้องติดป้ายเตือนใจ ผู้เป็นโรคคลั่งโทรศัพท์มือถือทั้งหลาย
เนื่องจากการคุยโทรศัพท์อย่างไม่ดูตาม้าตาเรือหรือไม่มีกาลเทศะนั้นดูเหมือนจะก่อโทษมากกว่าคุณ
เช่น กรณีที่นิวยอร์ก ออกกฎหมายห้ามโทรศัพท์ขณะขับรถออกมาเป็นรัฐแรก ก็เพื่อเป็นการป้องกันและลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
ในโรงภาพยนตร์ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่สร้างความรำคาญใจให้แก่บุคคลอื่นไม่น้อย
ดังเห็นได้จากโรงภาพยนตร์เกือบทุกโรงจะมีข้อความเตือนก่อนการฉายภาพยนตร์
แต่กระนั้นก็ยังมีคนไม่ใส่ใจ...หัวเราะคิกคัก ขณะที่บนจอกำลังโศกสลด... ส่วนในพิพิธภัณฑ์ใหญ่หลายแห่งในอเมริกาก็เริ่มติดป้ายเตือนผู้มาเข้าชม
ให้ปิดมือถือขณะเยี่ยมชม
เมื่อกล่าวถึงพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือของคน เป็นเรื่องที่น่าสนใจในการศึกษาพฤติกรรมของคนเหล่านั้น
บางครั้งอาจทำให้เราหงุดหงิด แต่ก็มีหลายครั้งที่ทำให้เรายิ้มได้...เช่น
Prof. Kenneth Gergen อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา แห่ง Swartmore College
กล่าวว่า พฤติกรรมการคุยโทรศัพท์มือถือก็เหมือนกับพฤติกรรมอื่นๆ ที่สามารถมองให้เป็นศิลปะได้
เช่น กรณีของหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้าน 7-Eleven เพื่อซื้อเบียร์ หลังจากที่เธอเลือกเบียร์ที่ต้องการ
เธอก็ถือไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน เธอวางเบียร์ลงบนเคาน์เตอร์ เปิดกระเป๋าสตางค์
หยิบบัตรเดบิตส่งให้พนักงาน รับบัตรคืน เซ็นใบเสร็จ หยิบเบียร์และเดินออกจากร้านไปที่รถ...
การเคลื่อนไหวของเธอที่บรรยายมาทั้งหมดนั้น กระทำขณะที่เธอกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยท่าที่หนีบโทรศัพท์ระหว่างหูกับหัวไหล่
โดยสายตาของเธอไม่ได้จดจ่อในสิ่งที่เธอทำเลย...
อีกฉากหนึ่งเกิดขึ้นที่ร้าน Whole Foods ในแอลเอ เรื่องมีอยู่ว่า สุภาพสตรีผู้หนึ่งคุยโทรศัพท์ตลอดเวลาที่เธอชอปปิ้ง
จนกระทั่งถึงเวลาเข้าแถวจ่ายเงิน เธอนึกขึ้นได้ว่า ต้องการสิ่งของอีกอย่างหนึ่งจึงปลีกตัวออกจากแถวโดยไม่บอกกล่าวใคร
แล้วเดินกลับมาที่แถวจ่ายเงินใหม่ แต่คราวนี้เธอกลับมาผิดแถว...
นักวิชาการบางคนให้ความเห็นว่า การที่บางคนมีพฤติกรรมเช่นนั้นก็เนื่องจากการขาดความมั่นใจในตัวเองในการเข้ากลุ่มในสังคม
ไม่รู้ว่าจะวาง ตัวอย่างไรเมื่ออยู่ในกลุ่มคนที่ตัวเองไม่รู้จักคุ้นเคย โทรศัพท์มือถือจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้ตัวเองมีความสำคัญมากขึ้น
เมื่อต้องออกมาเผชิญกับโลกที่ตัวเองไม่คุ้นเคย...
แต่หากให้อธิบายตามหลักธรรมดาสามัญก็คือ พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่เสียมารยาท
นอกจากจะไม่เคารพตัวเองแล้วยังไม่เคารพคนอื่นอีก...
ปล่อยให้คนอื่นต้องรอนาน บางคนมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อมาซื้อของที่ต้องการ
แต่กลับต้องเสียเวลานานกว่าที่คิด เนื่องจากคนข้างหน้าห่วงคุยโทรศัพท์มากกว่าสิ่งอื่นใด
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการคุยเรื่องจิปาถะ ไร้สาระเสียมากกว่าความจำเป็นคอขาดบาดตาย...
เฮ้อ...คราวหน้ากลับไปที่ร้านไอศกรีมจะบอกให้เขาติดข้อความว่า "ระวังไอศกรีมละลายหมด
อดกิน ถ้ามัวแต่คุยโทรศัพท์มือถือ"