แม้เอ็มเอฟซีจะเป็น บลจ.ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เป็นจุดที่ได้เปรียบในภาวะที่การแข่งขันกำลังทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างในปัจจุบัน ในวันนี้ เอ็มเอฟซีจึงจำเป็นต้องหาจุดเด่นที่สามารถใช้เป็นจุดขายของตัวเอง
ในปีนี้ถือเป็นปีที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี (MFC) ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บริษัทแม่ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ต้องไปควบรวมกับธนาคารทหารไทย
และดีบีเอสไทยทนุ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่มีผลต่อการดำเนิน งานของ MFC เท่ากับการที่ธนาคารนครหลวงไทย
ประกาศตั้งบริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นของตัวเอง
เพราะที่ผ่านมา MFC ได้เป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับธนาคารนครหลวงไทย โดยอาศัยเครือข่ายสาขาของธนาคารนครหลวงไทยที่มีอยู่เกือบ
400 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นช่องทางขายหน่วยลงทุนของ MFC
การจัดตั้ง บลจ.ขึ้นมาเองของธนาคารนครหลวงไทย ทำให้ช่องทางขายของ MFC แคบลงมาอย่างเห็นได้ชัด
"เรายอมรับว่าการเป็น บลจ.ที่ไม่มีธนาคารเป็นฐาน ย่อมเหนื่อยกว่า ในอดีต
บลจ.ส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ คือ บลจ.ที่มีแบงก์ แต่ก็ไม่ 100% มี บลจ.
หลายแห่งที่ไม่มีแบงก์ แต่สามารถพัฒนาทีมขายได้เอง ก็ยังใช้ได้ ซึ่งเราก็พยายามจะไปทั้ง
2 ทาง" บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ รองกรรมการจัดการ MFC ยอมรับกับ "ผู้จัดการ"
แนวทางของ MFC นอกจากการพัฒนาทีมขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังต้องพัฒนาช่องทางขาย
โดยอาศัย เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต รวมทั้งการเจรจาหาพันธมิตรใหม่ โดยกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับไทยธนาคาร
เพื่อใช้สาขาของไทยธนาคาร เป็นช่องทางขายหน่วยลงทุนของ MFC แทนที่สาขาของธนาคารนครหลวงไทย
แต่การที่จำนวนสาขาของไทยธนาคาร ซึ่งมีอยู่เพียง 100 กว่าแห่ง น้อยกว่าจำนวนสาขาของธนาคารนครหลวงไทย
ถึง 3 เท่า ย่อมทำให้การกระจายสินค้า ทำได้ไม่คล่องตัวเหมือนเช่นในอดีต
สิ่งหนึ่งที่ MFC จำเป็นต้องทำในขณะนี้คือการวาง Position ของตัวเองในตลาดให้ชัดเจน
เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ
Position ดังกล่าว สำหรับ MFC ได้ถูกกำหนดไว้ชัดเจนแล้ว คือการเป็น Innovative
Asset Management โดยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์
หน่วยลงทุน และการบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงที่สุดต่อผู้ถือหน่วย
"ตลาดของกองทุนรวมต่อไป สินค้า ที่จะออกมา อย่างน้อยมันจะต้องเป็นสินค้า
ที่มีจุดเด่น และมีความแตกต่างเมื่อเทียบกับสินค้าของคนอื่น เพราะฉะนั้น
MFC ก็พยายามจะไปเป้าหมายนั้น" บุญชัยกล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า
"จุดขายของเราคือ พยายามจะสร้างสรรค์สินค้ารูปแบบใหม่ที่ในตลาดยังไม่มี
แล้วเราจะทำเป็นเจ้าแรก แต่ว่าเราก็ยังจะมีสินค้าทั่วไปตามแต่ที่ตลาดอยากจะได้ตามปกติ"
MFC เริ่มต้นสร้างสรรค์รูปแบบสินค้าใหม่ๆ ออกมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว โดยการออก
MFC Spot Fund ซึ่งเป็นกองทุนปิดอายุ 3 ปี ที่กำหนดเป้าหมายไว้ อย่างชัดเจนว่าหากกองทุนนี้สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยได้ถึง
25% จะปิดโครงการทันที
กองทุนนี้ได้ออกมาในจังหวะที่บรรยากาศการซื้อขายหุ้นมีความคึกคัก ดัชนีราคาหุ้นกำลังปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ
500 จุด ไปถึงระดับ 800 จุด ดังนั้นจึงได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะสามารถ
สร้างผลตอบแทน 25% ได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนและ MFC สามารถออก MFC Spot Fund
มาได้ถึง 3 กองทุนด้วยกัน
นอกจาก MFC Spot Fund ซึ่งถือเป็นกองทุนรวมรูปแบบใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปีที่แล้ว
ปีเดียวกัน MFC ก็ได้เริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารกองทุน โดยการออกกองทุนเปิดประเภทคุ้มครองเงินต้นที่มีชื่อว่า
"เอ็มเอฟซีสินทรัพย์มั่นคง" กองทุนนี้เป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ความรู้ความสามารถของผู้จัดการกองทุน
กับเทคโนโลยี
โดยผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้คัดเลือกหุ้นที่จะซื้อเข้ามาไว้ในกองทุน ส่วนการ
บริหารกองทุนนั้น MFC ได้เขียนโปรแกรม ที่กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ชัดเจนว่าหากความ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับราคาหุ้นในกองทุน แต่ละวัน มีผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย
(NAV) ปรับตัวลงมาจนใกล้จะถึง ราคาพาร์ 10 บาท เมื่อไร ผู้จัดการกองทุน ควรจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เพื่อให้ NAV ไม่ลดน้อยลงไปต่ำกว่า 10 บาท
ซึ่งปรากฏว่าการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีและความรู้ความสามารถ ของผู้จัดการกองทุน
มีผลให้ NAV ของ กองทุนนี้ไม่เคยตกลงไปต่ำกว่า 10 บาท แม้ภาวะการซื้อขายหุ้นจะเริ่มผันผวนขึ้นมาอย่างมาก
หลังจากย่างเข้าปี 2547
"ตอนดัชนีอยู่ที่ 800 จุด NAV ของ กองทุนนี้อยู่ที่ 10.50 บาท แต่หลังจากดัชนี
ตกลงมาอยู่ที่ 650 จุด NAV ของกองทุนลดลงมาเหลือ 10.08 บาท ถือว่าเป็นอัตรา
ส่วนที่น้อยกว่าการลดลงของราคาหุ้นโดยรวมของทั้งตลาด"
ครึ่งแรกของปี 2547 MFC มีแผนจะออกกองทุนใหม่อีก 4 กองทุน โดยยังคงเน้นย้ำจุดขายเดิม
คือการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ และการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการบริหาร
ทั้ง 4 กองทุนดังกล่าวประกอบด้วย MFC Spot Fund 4 ที่เปิดขายหน่วยลงทุน
ไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเมื่อเดือนพฤษภาคม MFC ได้เปิดขายกองทุนเปิด
MFC Set 50 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท
และภายในเดือนมิถุนายน MFC ยังจะเปิดขายกองทุน "เอ็มเอฟซี ตราสารหนี้คืนกำไร
1" มูลค่า 1,000 ล้านบาท เป็น กองทุนปิด อายุ 3 ปี ที่จะออกเป็นซีรี่ส์เช่นเดียวกับ
MFC Spot Fund กองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในตราสารหนี้ โดยมีจุดขายคือการจ่ายผลตอบแทน
(auto redemption) คืนทุกเดือน ซึ่งแตกต่างจากกองทุนประเภทเดียวกันของ บลจ.อื่น
ที่ส่วนใหญ่จ่ายผลตอบแทนคืนทุก 3 หรือ 6 เดือน
นอกจากนี้ยังจะมีการจัดตั้งกองทุน MFC Global Bond มูลค่า 3,500 ล้านบาท
เพื่อนำเงินออกไปลงทุน ซื้อตราสารหนี้ในต่างประเทศ โดยร่วมมือกับ Nikko Asset
Management ของญี่ปุ่นมาเป็นที่ปรึกษา
MFC กำหนดไว้ว่าในแต่ละปีผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน MFC Global Bond จะต้องได้รับผลตอบแทน
2.25% บวกกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีของธนาคารพาณิชย์ไทย
ทั้ง MFC Set 50 และเอ็มเอฟซี ตราสารหนี้คืนกำไร 1 จะมีการผสมผสานโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหาร
นอกเหนือจากความรู้ความสามารถของ ผู้จัดการกองทุน เช่นเดียวกับกองทุนเอ็มเอฟซีสินทรัพย์มั่นคง
ที่เปิดขายเมื่อปีที่แล้ว
ส่วน MFC Global Bond จะอาศัยเทคโนโลยีของ Nikko Asset Management ที่ได้รับการพัฒนามาแล้วหลายปี
เข้ามาช่วยในการเลือกซื้อพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในแต่ละช่วง
Positioning และจุดขายของ MFC กำลังมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น
"เราไม่ได้หวังว่าเราจะเป็น Asset Management ที่จะไปแซงหน้าพวกบลจ.ใหญ่ๆ
ที่มีแบงก์เป็นฐานได้ แต่ว่า เราก็ต้องไม่น้อยหน้ากว่า บลจ.เหล่านั้น" บุญชัยสรุป