Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 พฤษภาคม 2547
กบข.เพิ่มพอร์ตหุ้น9พันล. เน้นลงทุนตราสารหนี้สั้น             

 


   
www resources

โฮมเพจ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์
โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ - กบข
เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์
วิสิฐ ตันติสุนทร
Funds




กบข. ปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ รับมือดอกเบี้ยแนวโน้ม สูงขึ้น หันลงทุนตราสารหนี้อายุสั้นลง หวังลดความผันผวนผลตอบแทนกองทุนฯ เฉลี่ย ขณะที่เพิ่มการลงทุนตราสารต่างประเทศอีก 25% เป็น 2 หมื่นล้านบาท ภายใน 2 ปี พร้อมปรับลดคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยปีนี้ เหลือ 750-800 จุด แต่เพิ่มพอร์ตลงทุนหุ้นไทยอีก 7-9 พันล้านบาท เป็นประมาณ 16-17% เพราะยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยแนวโน้มแข็งแกร่ง โตประมาณ 6.5% ปีนี้

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.ปรับกลยุทธ์การลงทุนที่ลงทุนตราสารหนี้ โดยขายตราสารหนี้ระยะยาว หันไปลงทุน ตราสารหนี้ระยะสั้นซึ่งขณะนี้ พอร์ต กบข. ลดการถือตราสารหนี้อายุเฉลี่ยประมาณเกือบ 2 ปีลง จากเดิม อายุเฉลี่ยประมาณ 2.5 ปี สาเหตุที่เปลี่ยนกลยุทธ์ เพราะคาดการณ์แล้วว่า อัตราดอกเบี้ยแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงต้องการช่วยลดความผันผวนตลาดตราสารหนี้ และผลตอบแทนกองทุน กบข. ที่ลงทุนส่วนนี้

นอกจากนี้ กบข. จะพักเงินบางส่วน ซึ่งจะลงทุนระยะสั้นและปานกลาง ในตั๋วแลกเงิน หรือฝากเงินกับสถาบันการเงิน บางส่วน จะลงทุนตลาดหุ้น ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของดอกเบี้ย และรอให้ปรับดอกเบี้ยขึ้นไปก่อน

"กบข.จะพักเงินบางส่วน เพื่อรอให้มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นไปก่อน ดังนั้น จะมุ่งลงทุนในตราสารหนี้ ระยะสั้นถึงปานกลาง มีอายุตั้งแต่ 1-2 ปี หรือลงทุน ในตราสารประเภทที่ไม่มีผลต่อการมาร์กทูมาร์เกต (อัตราตลาด ณ ขณะนั้นๆ) เพื่อที่จะปรับพอร์ตให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด จากการคำนวณด้วยวิธีมาร์กทูมาร์เกต" นายวิสิฐกล่าว

ปัจจุบัน กบข.มีสินทรัพย์สุทธิทั้งสิ้น 2.4 แสนล้านบาท อัตราผลตอบแทนสุทธิสะสมย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2542-2546 เฉลี่ย 8.6% โดยสัดส่วนการลงทุน จะยึดความปลอดภัยของเงินต้นเป็นหลัก

โดยจะกระจายลงทุนพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ 35% ตราสารหนี้อื่นๆ 25% และเงินฝากธนาคาร 21% ส่วนที่เหลือ ลงทุนตราสารทุน หรือตลาดหุ้น 13% อสังหาริมทรัพย์และลงทุนทางเลือกอื่นๆ 6%

นอกจากนี้ กบข.ยังจัดสรรเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท ลงทุนตราสารต่างประเทศ โดยลงทุนในรูปหน่วยลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ของไทย ที่มีพันธมิตรต่างประเทศขณะนี้ รับผลตอบแทนแล้วประมาณ 4.5% ซึ่งเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากตราสารหนี้ในประเทศไทย ถือว่าได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า

นายวิสิฐกล่าวว่า กบข. ยังมีแผนจะลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 5,000 ล้านบาทในตราสารหนี้ต่างประเทศ ประมาณ 50% ของเงินส่วนนี้ จะลงทุนผ่าน บลจ.ของไทย อีก 50% จะลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ ที่มีความชำนาญการลงทุน รวมทั้งยังมีแผน จะลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประมาณ 10% ของพอร์ตโดยรวม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ภายใน 2 ปีข้างหน้า

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่ผ่านมา กบข. ปรับลดประมาณการดัชนีหุ้นไทยลง เนื่องจากมีปัจจัย ภายนอกหลายประการ เช่น การปรับตัวสูงของราคา น้ำมันดิบตลาดโลก การขึ้นดอกเบี้ยต่างประเทศ ที่จะมีผลกระทบตลาดทุนทั่วโลก รวมถึงตลาดทุนไทย ซึ่งสอดคล้องกับบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง ที่ปรับลดลงก่อนหน้านี้เช่นกัน

โดย กบข.ประเมินว่า อัตราเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ของไทย จะอยู่ 6.5% ปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย น่าจะอยู่ที่ 750-800 จุดสิ้นปีนี้ ซึ่งดัชนีระดับดังกล่าว เมื่อเทียบกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ที่ยังแข็งแกร่ง น่าลงทุน

ดังนั้น กบข. จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหุ้นไทย จากปัจจุบัน 13% ของพอร์ต กบข. ทั้งหมด หรือประมาณ 3.12 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายในปลายปีนี้ จะเพิ่มเป็น 16-17% หรือประมาณ 3.84-4.08 หมื่นล้านบาท โดยพอร์ตการลงทุนของ กบข. จะถือ 30-40 หลักทรัพย์ ซึ่งไตรมาสแรก ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมประมาณ 3%

"ปกติ กบข.จะคาดว่า จะมีผลตอบแทนประมาณ 4-5% (ต่อปี) แต่ในปีที่แล้ว ที่มีผลตอบแทน ในระดับ 11.8% ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดหุ้นไทยในช่วง ปลายปีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก แต่ถ้าตัดปัจจัยนี้ออกไปจะพบว่า อัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 3-5 ปี น่าจะอยู่ในระดับ 6-7% แต่ถ้าเป็นผลตอบแทบจากตลาดหุ้น น่าจะอยู่ในระดับ 15-20% แต่ในส่วนของความผันผวนของตลาดหุ้นไทย พบว่าในระยะเวลา 3 ปี จะมีอัตราเฉลี่ยความผันผวนประมาณ 30% ขณะที่ของตลาดหุ้นต่างประเทศ อยู่ในระดับ 18-20% เท่านั้น" นายวิสิฐกล่าว

สำหรับการลงทุนของ กบข.ที่ร่วมกับพันธมิตร เช่น กองทุนเปิดไทยสร้างโอกาส ได้รับผลตอบแทนน่าพอใจ คาดว่าน่าจะได้รับผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี กองทุนไทยทวีทุน ซึ่งร่วมกับบรูไน มูลค่ากองทุน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 8,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ ลงทุนไปแล้วประมาณ 2,000 ล้านบาท ใน 5 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ไทย และบริษัทที่เตรียมจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้ ยังมีกองทุนโฟกัส ฟันด์ ที่มุ่งลงทุนหุ้น 8 บริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุด เงินลงทุนเฉลี่ย บริษัทละประมาณ 400 ล้านบาท คาดว่ากองทุนฯ ดังกล่าว จะได้รับผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 20%

ส่วนการร่วมกับเทมาเซ็ก โฮลดิ้งส์ รัฐวิสาหกิจเพื่อการลงทุนจากสิงคโปร์ ขณะนี้ อยู่ระหว่างเจรจา คาดว่าภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า จะหาข้อสรุปได้ ซึ่งอาจตั้งกองทุนใหม่ หรือใช้กองทุนที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us