KTC มั่นใจกำไรไตรมาส 2 ปีนี้โตกว่าไตรมาสแรก เนื่องจากการเติบโตของลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มทาง เลือกให้กับลูกค้า คาดปีนี้พอร์ตสินเชื่อโดยรวมมากกว่า
2 หมื่นล้านบาท แจงระวังเรื่องการออกบัตรใหม่
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทยจำกัด จำกัด(มหาชน)
(KTC)เปิดเผย ว่า ผลกำไรของบริษัทในไตรมาสที่ 2 ยังคงดีต่อเนื่อง และดีกว่าไตรมาสที่
1 เนื่องจากการเติบโตของลูกค้าบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลยังมีการเติบโตที่ดีทำให้บริษัทมีรายได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในสิ้นปีนี้พอร์ตของสินเชื่อบัตรเครดิตจะอยู่ที่ 1.5 - 1.6
หมื่นล้านบาท และสินเชื่อบุคคลจะอยู่ที่ 5-7 พันล้านบาท ทำให้พอร์ตของบริษัทโดยรวมมีประมาณ
2.0 - 2.2 หมื่นล้านบาท
"เชื่อว่าการทำกำไรของบริษัทใน ปีนี้จะไม่แพ้ปีที่แล้ว ทั้งในด้านการเติบ
โตของกำไร โดยถ้าเศรษฐกิจดีกว่านี้ ปัจจัยด้านลบหมดไปตัวเลขดังกล่าว ก็จะเพิ่มขึ้นดีกว่าที่คาด
ซึ่งบริษัทได้เพิ่มความระมัดระวังในการออกบัตรใหม่ แต่ไม่ได้มีการปรับลดตัวเลขบัตรเครดิต
โดยในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโต 300,000 ใบ" นายนิวัตต์กล่าว
นายธวัชชัย ธิติศักดิ์สกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส KTC กล่าวว่า บริษัทได้เพิ่มความระมัดระวัง
ในการออกบัตรเครดิตให้กับผู้ถือบัตรใหม่และการติดตามหนี้บัตรเครดิต โดยบริษัทได้ให้พนักงานพิจารณาใบสมัครของลูกค้าที่ยื่น
สมัครก่อนที่จะนำเข้าสู่ระบบจัดอันดับความเสี่ยง ซึ่งการเพิ่มความระมัดระวังก็จะทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง
ทั้งนี้ สาเหตุที่บริษัทเพิ่มความ ระมัดระวังก็เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ การว่างงาน การลงทุน และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตรที่อาจจะ
ลดลงจากช่วงภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
"บริษัทได้เพิ่มจำนวนคนที่ติดตามหนี้จากเดิมที่กำหนดไว้เดือนละ 100 คนเป็น
130 คนตั้งแต่ต้นเดือน เมษายนที่ผ่านมา แต่บริษัทได้เห็นสัญญาณความผันผวนของราคาน้ำมัน
และเริ่มจับตามองถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ 2-3 เดือนที่ผ่านมา"
นายธวัชชัยกล่าว
สำหรับงบการเงินไตรมาสแรกของ KTC พบว่ามีกำไรสุทธิ 151.93 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ
0.61 บาทต่อหุ้น โดยมีอัตราการเติบโตเท่ากับ 194.0% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันกับไตรมาสที่
1 ปี 2546 เนื่องจากรายได้รวมเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 881.08 ล้านบาท
ซึ่งประกอบด้วยรายได้ค่าธรรม-เนียม 373.55 ล้านบาท คิดเป็น 42.4% ของรายได้รวม
และรายได้จากดอกเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 462.37 ล้านบาท คิดเป็น 52.5% ของรายได้รวม
ซึ่งรายได้จากดอกเบี้ยรับนี้ แยกเป็นรายได้ดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้บัตรเครดิต จากลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิต
และจากลูกหนี้ สินเชื่อบุคคล เท่ากับ 364.62 32.53 และ 65.22 ล้านบาท หรือ คิดเป็น
41.4% 3.7% และ 7.4% ของรายได้รวมตามลำดับ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการบริหารงานบัตรเดบิตให้กับธนาคารกรุงไทย จำกัด
(มหาชน) รายได้จากหนี้สูญได้รับคืนและรายได้อื่นๆ เท่ากับ 2.5 34.95 และ 7.72 ล้านบาท
ตามลำดับ โดยหากเทียบกับผล การดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 1 สิ้นสุด 31 มีนาคม 2546
ที่มีรายได้รวม เท่ากับ 557.53 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 58.0% เมื่อเทียบกับผลประกอบการในงวดเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากรายได้ดอกเบี้ยรับและรายได้ค่าธรรมเนียมทั้งจากธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อบุคคล
แต่ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2547 เท่ากับ 608.52 ล้านบาท คิดเป็น 69.1%
ของรายได้รวม แยกเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวม 496.03 ล้านบาท หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ
112.49 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้รวมเท่ากับ 56.3% และ 12.8% ตามลำดับ