ปตท.สผ.ทบทวนการลงทุนในโครงการ Medco ที่อินโดนีเซีย หลังจากรายได้น้ำมันลด โดยจะเข้าไปดูแลแหล่งผลิตปิโตรเลียมใหม่ และหนุนให้ทำโรงไฟฟ้ารองรับก๊าซฯที่ขุดพบเพิ่มขึ้น ยืนยันยังไม่ถอนการลงทุน บิ๊กปตท.สผ.
มั่นใจไตรมาส 2 ปีนี้ ผลประกอบการดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก เพราะมีรายได้จากการปรับขึ้น
ราคาก๊าซฯ ราคาน้ำมันยังสูง และผลการดำเนินงาน Medco ดีขึ้น
นายมารุต มฤคทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด
(มหาชน) (PTTEP) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯกำลังทบทวนการลงทุนในแหล่ง Medco ที่ปตท.สผ.ถือหุ้นทางอ้อม
34% หลังจากพบว่าปริมาณการผลิตน้ำมันซึ่งเป็นรายได้หลักมีปริมาณลดลงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
แต่ขณะเดียวกัน ได้พบก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังไม่ได้ตัดสินใจ ถึงขั้นการถอนการลงทุนในแหล่งดังกล่าว
เพียงแต่ศึกษาแผนการดำเนินงานและแนวทางการเพิ่มรายได้จากทางอื่นๆเพื่อทดแทนรายได้จากการขายน้ำมันที่หดหายไป
เช่น ปตท.สผ.จะเข้าไปช่วยดูแลแหล่งผลิตปิโตรเลียมใหม่ๆที่มีศักยภาพ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการนำก๊าซฯที่ขุด
ไปใช้ในโรงไฟฟ้า ซึ่งอาจจะลงทุนทำโรงไฟฟ้าเองหรือไม่ก็ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีความเสี่ยง
ต่ำ เนื่องจากปัจจุบันอินโดนีเซียยังขาดแคลนไฟฟ้า แม้ว่าจะมีแหล่งก๊าซฯมากก็ตาม
ที่ผ่านมา Medco ประสบปัญหาเรื่องการขยายการผลิต โดยการขุดเจาะหลุมสำรวจใหม่ๆ
มักจะพบแต่ปริมาณก๊าซ ขณะที่พบปริมาณน้ำมันเล็กน้อย นอกจากนี้การจะนำก๊าซมาใช้ยังมีอุปสรรคอยู่มาก
จากเรื่องระบบขนส่งและแหล่งผลิตที่อยู่ไกล ทำให้ไม่สามารถนำก๊าซจากแหล่งมาใช้เต็มที่
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส1/2547 ปตท.สผ.บันทึกผลขาดทุนจากการลงทุนใน Medco
ถึง 135 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการประเมินส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เคยระบุเป้าไว้ว่า
Medco จะมีกำไรทั้งปี 70 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงเหลือเพียง 54 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ปตท.สผ.ต้องปรับตัวเลขทางบัญชีใหม่
"เราจะเข้าไปดูว่า จะเสริมตรงจุดไหนได้บ้าง น้ำมันในอินโดฯหายากทุกวัน แต่เจอก๊าซในปริมาณที่มาก
ซึ่งเขา (Medco) ไม่มีความชำนาญ เราก็อาจจะเข้าไปเสริมตรงนั้น" นายมารุต กล่าว
นายมารุต กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯคาดกำไร สุทธิในไตรมาส 2 จะสูงกว่าในไตรมาสแรกของปีนี้
เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมทั้งบริษัทฯได้มีการปรับราคาขายก๊าซบงกชขึ้นอีก
10 เซ็นต์ต่อล้านบีทียู และผลการดำเนินงานของ Medco น่าจะดีขึ้นด้วย
โดยไตรมาส 1/2547 ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ 3.38 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากงวดปีก่อนโดยมีรายได้รวม
1.07 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 28%
"ไตรมาส 2 น่าจะดีกว่าไตรมาส 1 เพราะราคาน้ำมันยังรักษาระดับในอัตราที่สูงกว่าไตรมาส
1 ปีนี้ด้วย ในระดับที่สูงกว่าไตรมาส 1 นอกจากนี้ บริษัทฯได้มีการปรับขึ้นราคาขายก๊าซ
ธรรมชาติจากแหล่งบงกช ซึ่งเป็นรายได้หลักจากเดิม 3.14 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู
เพิ่มเป็น 3.24 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียูในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับตามรอบระยะเวลาทุก
6 เดือน และตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมทั้ง มีการปรับราคาขายก๊าซจากแหล่งยาดานา
ประเทศพม่า ลงจากเดิมเล็กน้อย" นายมารุตกล่าว
นายมารุต กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ปริมาณขายปิโตรเลียมยังอยู่ระดับ 1.29 แสนบาร์เรล/วัน
เช่นเดียวกับไตรมาสแรก และจะอยู่ระดับนี้ไปตลอดทั้งปี เนื่องจากบริษัทเข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดในไทยเชลล์
ซึ่งเป็นเจ้าของแหล่ง S1 ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมัน ทำให้ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเร่งเตรียม แผนการผลิตในโครงการ B6/27 เพื่อนำน้ำมันจากแหล่งดังกล่าวขึ้นมาใช้อีกครั้ง
รวมทั้งเตรียม นำหลุมก๊าซฯจากแหล่ง S1 ที่ปิดไปแล้ว กลับมาสำรวจอีกครั้ง โดยคาดว่าจะมีปริมาณก๊าซฯเพียงพอที่จะขายให้กับกฟผ.
เพิ่ม แต่ถ้ากฟผ. ไม่สามารถรองรับได้ ก็อาจจะลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กขึ้นมาแทน
นายมารุต กล่าวว่า การปรับขึ้นของราคาเหล็กในช่วงนี้ ส่งผลกระทบต่อโครงการแหล่งอาทิตย์
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดประมูลการก่อสร้างแพลทฟอร์ม ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น
เนื่องจากเหล็กขาดแคลน อย่างไรก็ตาม คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเสร็จทันกำหนดทำให้ปตท.สผ.มียอดขายปิโตรเลียมอยู่ที่ระดับ
1.93 แสนบาร์เรล/วัน
ปตท.สผ.เป็นผู้ผลิตปิโตรเลียม ที่มีรายได้ หลักจากการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ สัดส่วน
70% และน้ำมันประมาณ 30% ขณะที่บริษัทมีโครงการ สำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งในและนอกประเทศ
ประมาณ 23 โครงการ โดยบริษัทได้ให้ความสนใจการลงทุนในแถบแอฟริกา และตะวันออก กลาง
เช่น ลิเบีย และอิหร่าน เป็นต้น โดยบริษัทมีความสามารถในการกู้ยืมเงินได้ถึง 3-4
หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1 ต่อ 1 เท่า