ไทยฟิล์มอินดัสตรี่แจงเหตุขาดทุน 75.69 ล้านบาท หรือลดลง 164% อ้างผลกระทบจากวัฏจักรขาลงราคาฟิล์ม
BOPP ในตลาด โลกที่ยังเกินความต้องการมาก รวมทั้งรับรู้การขาดทุนจากการลงทุนในไทย
คอปเปอร์ฯตามสัดส่วนหุ้นที่ถือจำนวน 55 ล้านบาท ยืนยันบริษัทมีความ สามารถในการชำระหนี้ได้ตามปกติ
เนื่องจากค่าเสื่อมและรับรู้ผลขาดทุนจากไทยคอปเปอร์ฯไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
นายวัลลภ คุณานุกรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน)
(TFI) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุด 31 มีนาคม 2547 ว่า บริษัทฯขาดทุนสุทธิ
75.69 ล้าน บาท ต่ำลง1 64.60% เมื่อเทียบจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ
117.15 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.01 บาท ต่ำลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น
0.02 บาท เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวัฏจักรขาลงของอุตสาหกรรมฟิล์มในตลาดโลกต่อเนื่องจากปี
2546 ซึ่งมีสาเหตุมาจาก กำลังการผลิต BOPP FILM ยังเกินความต้องการของตลาดโลกอยู่ประมาณ
400,000 ตัน/ปี ถึงแม้ว่าผู้ผลิตต่างๆจะได้หยุดขยายกำลังการผลิตแล้วก็ตาม
ส่งผลให้ราคาขายฟิล์มในไตรมาสที่ 1/2547 ลดลงจากไตรมาสที่ 1/2546 ประมาณ 15%
โดยมีราคาเฉลี่ยลดเหลือ 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราคาเฉลี่ย 1,350 เหรียญสหรัฐ/ตันในไตรมาส
ที่ 1/2546 ประกอบกับ ราคาวัตถุดิบ (เม็ดพีพี) ในไตรมาสที่ 1 ปี 2547 สูงกว่าไตรมาสที่
1 ปี 2546 ประมาณ 15%
จากสาเหตุราคาดังกล่าวข้างต้นทำให้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักค่า เสื่อมราคาจากการตีราคาเครื่องจักรในไตรมาสที่
1 ปี 2547 เพียง 17.7 ล้านบาท เมื่อบวกกับค่าเสื่อม ราคาจากการตีราคาเครื่องจักรเพิ่มอีก
38.7 ล้านบาท และส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียอีก 54.7 ล้านบาท
หลังจากเข้าไปถือหุ้นในบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) (TCI) ทำให้
TFI มีผลขาดทุนสุทธิ
อย่างไรก็ตาม บริษัทคงมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ตามปกติ เนื่องจากค่าเสื่อมราคาจากการตีราคาเครื่องจักรเพิ่มและส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียจำนวน
93.4 ล้านบาท มิใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็น การลงบัญชีตามมาตรฐานบัญชีเท่านั้น
เป็นผลให้ยอดหนี้ค้างชำระจากเจ้าหนี้สถาบันการเงินลดลง โดยมีสัดส่วนของหนี้สินต่อส่วน
ของผู้ถือหุ้นลดลงเหลือเพียง 1.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าอัตราส่วนธุรกิจที่ต้องลงทุนสูงในประเภทเดียวกัน
นายวัลลภ กล่าวต่อไปว่า ยอดขาย 3 เดือนแรกปีนี้ มีจำนวน 1,047 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
1.92% ถึงแม้ว่าปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้น 31% จาก 16,828 ตัน ในไตรมาสที่ 1 /2546
เป็น 22,072 ตัน ในไตรมาสที่ 1/2547 เนื่องจาก ราคาฟิล์มของไตรมาสที่ 1 ปี 2547
ราคาลดต่ำลง 15% ขณะที่ดอกเบี้ย จ่ายรวม ณ สิ้นสุดไตรมาสที่ 1/2547 ต่ำกว่าดอกเบี้ยจ่ายในช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ
11 ล้านบาท เพราะมีการชำระเงินกู้ระยะยาวก่อนกำหนด
นอกจากนี้ บริษัทมีกำไรจาก อัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้เป็น 16 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักเกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น และมีรายได้จากการส่งออกเป็นรูปเงินตราต่างประเทศมากกว่า 75% เมื่อส่วนขยายที่
2 ของ BOPP LINE อีก 25,000-30,000 ตันต่อปี ซึ่งเริ่มผลิตแล้วในเดือนพฤศจิกายน
2546 อาจกล่าวได้ว่า บริษัทฯ จะมี ความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผันผวนต่ำกว่าในอดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก