TUF ไตรมาสแรกปี 47 กำไรลด 58% ผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า อีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าเพิ่ม
ขณะที่แผนการพัฒนากลยุทธ์ของ Chicken of the Sea ในสหรัฐฯ และผลิตภัณฑ์ในประเทศ
ทำให้ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการส่งเสริมการขายสูงขึ้น ฉุดผลประกอบการตก แม้ยอดขายเพิ่มขึ้น
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทไทยยูเนี่ยน โฟร์เซ่น โปรดักส์
จำกัด(มหาชน) (TUF) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัทมีรายได้เติบโตทั้งในรูปเงินเหรียญสหรัฐ
และเงินบาท โดยมีรายได้จากรูปเงินเหรียญ 260 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17
จากไตรมาสเดียวกันของปี 46 ที่มีรายได้จากการขาย 223 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีรายได้จากการขายรูปเงินบาท
10,227.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ขณะที่มีกำไร สุทธิ 315.30 ล้านบาท ลดลงจากงวด
เดียวกันของปี 46 ที่มีกำไรสุทธิ 747.01 ล้านบาท ส่งผลให้จากที่มีกำไรต่อหุ้นอยู่
87 สตางค์ลดลงเหลือ 37 สตางค์ ต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 58
เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น กว่าร้อยละ 8 จากปีที่ผ่านมา โดยมี ส่วนต่างกันประมาณ
3 บาท อีกทั้งราคาวัตถุดิบคือปลาทูน่าปรับตัวสูงขึ้น จาก 696 เหรียญสหรัฐต่อตันในปี
46 เพิ่มเป็น 777 เหรียญสหรัฐต่อตัน ใน ไตรมาสแรกปีนี้ ประกอบกับราคาปลาทูน่าที่จับได้ในแถบ
Eastern Pacific มีต้นทุนถูกกว่าราคาวัตถุดิบปลาทูน่าของบริษัท ทำให้บริษัทไม่สามารถกำหนดราคาขายผลิตภัณฑ์ได้มากนัก
แม้ว่าผลิตภัณฑ์กุ้งจะมียอดขาย เพิ่มสูงขึ้น จากการรับรู้รายได้ของบริษัท เอ็มเพร็ส
อินเตอร์เนชั่นแนล (EMP) ในตลาดสหรัฐฯ แต่เนื่องจากบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทจัดจำหน่าย
จึงมีมาร์จิ้นไม่สูง ส่งผลให้กำไรขั้นต้น ของบริษัทในไตรมาสแรกปีนี้ลดลงร้อยละ
14.6 ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 20.3 ประกอบกับที่ TUF มีแผนการพัฒนากลยุทธ์ของ
Chicken of the Sea ในสหรัฐฯ และผลิตภัณฑ์ในประเทศ ซึ่งทำให้ค่า ใช้จ่ายในการโฆษณาและการส่งเสริมการขายสูงขึ้น
"แม้ว่าผลกำไรไตรมาสนี้จะไม่สูงเท่ากับไตรมาสเดียวกันของปี 46 แต่บริษัทก็พอใจกับภาพ
รวมการดำเนินงานที่ออกมา เนื่อง จากในปีนี้อุตสาหกรรมการส่งออก อาหารทะเลแช่แข็งต้องเผชิญกับอุปสรรค
ทั้งความผันผวนของ อัตราแลกเปลี่ยน และการกีดกันทางการค้าที่รุนแรง โดยเฉพาะกุ้ง
ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการ ตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐฯ แต่บริษัทยังสามารถทำรายได้จากการขายเพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะกุ้งที่มียอดขายโตร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน"
นายธีรพงศ์กล่าวว่า ปลาทูน่าแช่แข็งและบรรจุกระป๋องเป็น ผลิตภัณฑ์หลักในการส่งออก
ซึ่ง มีอัตราส่วนร้อยละ 53 ของปริมาณ ยอดขายรวม สำหรับผลิตภัณฑ์กุ้งแช่แข็งมียอดขายเพิ่มจากปีก่อน
โดยมีสัดสวนยอดขายร้อยละ 23 ส่วนอาหารทะเลบรรจุกระป๋องร้อยละ 9 อาหารแมวบรรจุกระป๋องร้อยละ
6 ปลาหมึกแช่แข็งร้อยละ 3 และผลิต ภัณฑ์ที่ขายภายในประเทศร้อยละ 3
สำหรับตลาดส่งออกที่ไม่รวมยอดขายของ Chicken of the Sea และ EMP ในสหรัฐฯ โดยมียอดญี่ปุ่น
ร้อยละ 27 สหรัฐฯร้อยละ 21 สหภาพยุโรปร้อยละ 16 ออสเตรเลียร้อยละ 6 ตะวันออกกลางร้อยละ
3 แคนาดาร้อยละ 5 เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น)ร้อยละ 4 อเมริกาใต้ร้อยละ 2 แอฟริการ้อยละ2
และขาย ในประเทศร้อยละ 14
ทั้งนี้ TUF ได้ จัดสรรกำไรสุทธิเป็นเงิน ปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในปี 46 หุ้นละ
1.85 บาท คิดเป็นอัตราเงิน ปันผลร้อยละ 69.43 ของกำไรสุทธิประจำปี 46 ซึ่งได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาล
1.19 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 19 กันยายน 46 และจ่ายอีกครั้งเมื่อ 7 พฤษภาคม 47
จำนวน 66 สตางค์ต่อหุ้น โดยการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ บริษัทฯ
ต้องการชำระคืนกำไรจากการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยกำหนดจ่ายปันผลปีละ 2
ครั้งในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเต็มที่