Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน14 พฤษภาคม 2547
"อมตะ"รายได้ Q1 228ล้าน             
 


   
search resources

อมตะ คอร์ปอเรชั่น, บมจ.
วิบูลย์ กรมดิษฐ์
Real Estate




อมตะโชว์ผลประกอบการไตรมาสแรก 228 ล้านบาท คาดไตรมาส 2 สามารถรับรู้รายได้เพิ่ม 1,000 ล้านบาท วางเป้ายอดขายไตรมาส 2 เพิ่มอีก 390 ไร่ ส่วนยอดขายรวมปี 47 คาดไม่ต่ำกว่า 1,100 ไร่ หรือประมาณ 3,300 ล้านบาท ส่งผลอัตรากำไรขยายตัวจากไตรมาสแรกกว่า 40% ย้ำลูกค้ารายใหญ่ยังเป็นญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ รองประธานอาวุโส บริษัทอมตะ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2546 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายที่ดินรวม 842 ไร่ คิดเป็นเงิน 2,900 ล้านบาท ส่วนในปี 2547 ตั้งเป้าว่าจะสามารถทำยอดขายได้ที่ 1,100 ไร่ หรือคิดเป็นเงินประมาณ 3,300 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 1 บริษัทมียอดขายที่ดินรวมทั้งในโครงการอมตะนคร และโครงการอมตะซิตี้ 240 ไร่ สามารถ รับรู้รายได้ 228 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้มีนักลงทุนเข้ามาจองซื้อที่ดินในโครงการตั้งแต่ในไตรมาสแรกแล้วประมาณ 500 ล้านบาท แต่ยังอยู่ในช่วงของการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายอยู่ ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนจึงจะสามารถรับรู้รายได้ในส่วนดังกล่าว

ส่วนไตรมาสที่ 2 บริษัทตั้งเป้าว่าจะสามารถมียอดขายได้มากกว่า 390 ไร่ เนื่องจากขณะนี้มีลูกค้าเข้ามาจองซื้อที่ดินในโครงการแล้ว โดยมีสัดส่วนการจองซื้อในโครงการ อมตะนคร 156 ไร่ จากจำนวนที่ดินทั้งหมดในโครงการ 2,000 ไร่ และการจองซื้อที่ดินในโครงการ อมตะซิตี้จำนวน 234 ไร่ จากจำนวนที่ดินทั้งหมด 3,300 ไร่ เมื่อรวมยอดจองซื้อจากทั้ง 2 โครงการเท่ากับ 390 ไร่ หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,170 ล้านบาท ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจากไตรมาส แรกประมาณ 40%

สำหรับลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่ดินจากทั้งสองโครงการนั้น จะมีทั้งลูกค้าเดิมที่ต้องการขยายฐานการผลิตเพิ่มและลูกค้าใหม่ที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมในประเทศไทย โดยใช้พื้นที่ในโครงการเป็นฐานการผลิตสัดส่วนของลูกค้าใหม่ และลูกค้าเก่าที่ซื้อที่ดินในโครงการสามารถแบ่งได้เป็นลูกค้าเก่า 50-60% ส่วนลูกค้าใหม่มีประมาณ 40-50%

"ปัจจุบัน บริษัทถือว่าเป็นผู้ประกอบการประเภทค้าที่ดินที่มียอดขายสูงเป็นอันดับ 1 ของตลาด โดยมีมาร์เกตแชร์จากตลาดรวมอยู่ที่ 40.44% และในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะสามารถเพิ่มมาร์เกตแชร์ขึ้นเป็น 50% ของตลาดรวม การที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับต้นๆ ของ ตลาดนั้น เนื่องจากลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่ดินจากโครงการให้ความเชื่อมั่น และไว้ใจกับทางบริษัท แม้ว่าในบางครั้งการดำเนินงานของบริษัทอาจจะ มีปัญหาหรืออุปสรรคบ้าง แต่ก็สามารถส่งมอบงานให้ได้ในระยะเวลา ที่กำหนด ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่ดินเกิดความเชื่อมั่นและพูดกันปาก ต่อปากจึงส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้ใจจากนักลงทุน" นายวิบูลย์กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากค่าให้บริการในโครงการ จากการให้บริการน้ำประปาบริการทำความสะอาด อาทิ เก็บขยะ และ ค่าบำรุงส่วนกลางที่จะได้รับจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในโครงการ ประมาณ 20% ของรายได้จากการขายที่ดินในโครงการ คิดเป็นเงินประมาณ 500-600 ล้านบาท ทั้งนี้ ในการเก็บค่าบริการดังกล่าวจะมีการจัดเก็บเป็นรายเดือน โดยในส่วนของผู้ประกอบการรายใหม่นั้นจะสามารถจัดเก็บได้หลังจากการเปิดทำการผลิตสินค้าหรือเริ่มดำเนินการผลิต

สำหรับลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่ดินในโครงการนั้นส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประเทศในแถบทวีปเอเชีย โดยลูกค้ารายหลักนั้นจะเป็นลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่น รองลงมาจะเป็นลูกค้าในกลุ่มประเทศเอเชีย ลูกค้า จากทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาแบ่งสัดส่วนลดหลั่นกันมาตามลำดับ

ส่วนสินค้าที่ผู้ประกอบการเข้ามาตั้งฐานผลิตในเมืองไทยนั้นสามารถจัดเป็นอันดับได้ดังนี้ 1.สินค้าประเภทรถยนต์ 2.สินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ 3. สินค้าประเภทอิเล็กทริก และ 5.สินค้าประเภทคอนซูเมอร์โปรดักต์ สำหรับจำนวนที่ดินทั้ง 2 โครงการ ที่บริษัทมีอยู่ในขณะนี้เชื่อว่าจะสามารถรองรับจำนวนการขยายตัวความ ต้องการใช้พื้นที่ในตลาดได้ประมาณ 3 ปี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us