อมตะโชว์ผลประกอบการไตรมาสแรก 228 ล้านบาท คาดไตรมาส 2 สามารถรับรู้รายได้เพิ่ม
1,000 ล้านบาท วางเป้ายอดขายไตรมาส 2 เพิ่มอีก 390 ไร่ ส่วนยอดขายรวมปี 47 คาดไม่ต่ำกว่า
1,100 ไร่ หรือประมาณ 3,300 ล้านบาท ส่งผลอัตรากำไรขยายตัวจากไตรมาสแรกกว่า 40%
ย้ำลูกค้ารายใหญ่ยังเป็นญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ รองประธานอาวุโส บริษัทอมตะ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า ในปี 2546 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายที่ดินรวม 842 ไร่ คิดเป็นเงิน 2,900
ล้านบาท ส่วนในปี 2547 ตั้งเป้าว่าจะสามารถทำยอดขายได้ที่ 1,100 ไร่ หรือคิดเป็นเงินประมาณ
3,300 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 1 บริษัทมียอดขายที่ดินรวมทั้งในโครงการอมตะนคร และโครงการอมตะซิตี้
240 ไร่ สามารถ รับรู้รายได้ 228 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่
2 นี้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้มีนักลงทุนเข้ามาจองซื้อที่ดินในโครงการตั้งแต่ในไตรมาสแรกแล้วประมาณ
500 ล้านบาท แต่ยังอยู่ในช่วงของการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายอยู่ ใช้เวลาประมาณ 3-4
เดือนจึงจะสามารถรับรู้รายได้ในส่วนดังกล่าว
ส่วนไตรมาสที่ 2 บริษัทตั้งเป้าว่าจะสามารถมียอดขายได้มากกว่า 390 ไร่ เนื่องจากขณะนี้มีลูกค้าเข้ามาจองซื้อที่ดินในโครงการแล้ว
โดยมีสัดส่วนการจองซื้อในโครงการ อมตะนคร 156 ไร่ จากจำนวนที่ดินทั้งหมดในโครงการ
2,000 ไร่ และการจองซื้อที่ดินในโครงการ อมตะซิตี้จำนวน 234 ไร่ จากจำนวนที่ดินทั้งหมด
3,300 ไร่ เมื่อรวมยอดจองซื้อจากทั้ง 2 โครงการเท่ากับ 390 ไร่ หรือคิดเป็นเงินประมาณ
1,170 ล้านบาท ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจากไตรมาส แรกประมาณ 40%
สำหรับลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่ดินจากทั้งสองโครงการนั้น จะมีทั้งลูกค้าเดิมที่ต้องการขยายฐานการผลิตเพิ่มและลูกค้าใหม่ที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมในประเทศไทย
โดยใช้พื้นที่ในโครงการเป็นฐานการผลิตสัดส่วนของลูกค้าใหม่ และลูกค้าเก่าที่ซื้อที่ดินในโครงการสามารถแบ่งได้เป็นลูกค้าเก่า
50-60% ส่วนลูกค้าใหม่มีประมาณ 40-50%
"ปัจจุบัน บริษัทถือว่าเป็นผู้ประกอบการประเภทค้าที่ดินที่มียอดขายสูงเป็นอันดับ
1 ของตลาด โดยมีมาร์เกตแชร์จากตลาดรวมอยู่ที่ 40.44% และในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะสามารถเพิ่มมาร์เกตแชร์ขึ้นเป็น
50% ของตลาดรวม การที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับต้นๆ ของ ตลาดนั้น เนื่องจากลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่ดินจากโครงการให้ความเชื่อมั่น
และไว้ใจกับทางบริษัท แม้ว่าในบางครั้งการดำเนินงานของบริษัทอาจจะ มีปัญหาหรืออุปสรรคบ้าง
แต่ก็สามารถส่งมอบงานให้ได้ในระยะเวลา ที่กำหนด ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่ดินเกิดความเชื่อมั่นและพูดกันปาก
ต่อปากจึงส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้ใจจากนักลงทุน" นายวิบูลย์กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากค่าให้บริการในโครงการ จากการให้บริการน้ำประปาบริการทำความสะอาด
อาทิ เก็บขยะ และ ค่าบำรุงส่วนกลางที่จะได้รับจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในโครงการ
ประมาณ 20% ของรายได้จากการขายที่ดินในโครงการ คิดเป็นเงินประมาณ 500-600 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในการเก็บค่าบริการดังกล่าวจะมีการจัดเก็บเป็นรายเดือน โดยในส่วนของผู้ประกอบการรายใหม่นั้นจะสามารถจัดเก็บได้หลังจากการเปิดทำการผลิตสินค้าหรือเริ่มดำเนินการผลิต
สำหรับลูกค้าที่เข้ามาซื้อที่ดินในโครงการนั้นส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประเทศในแถบทวีปเอเชีย
โดยลูกค้ารายหลักนั้นจะเป็นลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่น รองลงมาจะเป็นลูกค้าในกลุ่มประเทศเอเชีย
ลูกค้า จากทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาแบ่งสัดส่วนลดหลั่นกันมาตามลำดับ
ส่วนสินค้าที่ผู้ประกอบการเข้ามาตั้งฐานผลิตในเมืองไทยนั้นสามารถจัดเป็นอันดับได้ดังนี้
1.สินค้าประเภทรถยนต์ 2.สินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ 3. สินค้าประเภทอิเล็กทริก
และ 5.สินค้าประเภทคอนซูเมอร์โปรดักต์ สำหรับจำนวนที่ดินทั้ง 2 โครงการ ที่บริษัทมีอยู่ในขณะนี้เชื่อว่าจะสามารถรองรับจำนวนการขยายตัวความ ต้องการใช้พื้นที่ในตลาดได้ประมาณ 3 ปี