Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2542








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2542
ดีบีเอส รุกขยายกิจการ             
 

   
related stories

ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ ยังต้องปรับตัวอีกมาก
พรสนอง ตู้จินดา "ทายาท" ธนาคารไทยคนสุดท้าย?

   
search resources

ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ




ในยามที่เศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ จนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินจำนวนมาก ในภูมิภาคนี้ประสบชะตากรรมล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมากนั้น แต่ก็มีสถาบันการเงินที่มีความเข้มแข็งพอและสามารถปรับตัวรับสถานการณ์นี้ได้ โดยปรับเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ฉวยจังหวะนี้ทำตนเป็นนักลงทุนซื้อกิจการสถาบันการเงินที่มีปัญหา เพื่อใช้เป็นฐานขยายตัวในระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง

ธนาคารดีบีเอส ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในกรณีนี้ ดีบีเอสได้เข้าไปซื้อกิจการธนาคารในหลายประเทศ ในลักษณะเป็นผู้ถือหุ้นส่วนมาก ในไทย ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ และมีความเป็นไปได้ในอินโดนีเซียด้วย แม้ว่าการซื้อกิจการในยามนี้ไม่ค่อยราบรื่นนัก ถึงราคาที่ซื้อได้จะถูก แต่ความเสียหายที่ตามติดมากับสถาบันเหล่านี้ก็สร้างความสูญเสียให้ดีบีเอสอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกรณีของการซื้อธนาคารไทยทนุนั้น มีรายงานว่าไทยทนุมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงถึง 1.6 พันล้านเหรียญ และหลังจากที่ดีบีเอสเข้าไปถือหุ้นแล้ว ได้มีการตัดหนี้สูญ (write off) ออกไปถึง 150 ล้านเหรียญ และยังตั้งวงเงินรับความสูญเสียขั้นต่ำสุดไว้อีกจำนวน 79 ล้านเหรียญเพราะสินทรัพย์ที่เสื่อมคุณภาพลงเรื่อยๆ ของไทยทนุ

ด้านผลการดำเนินล่าสุดของดีบี เอสเมื่อสิ้นปี 1998 มีกำไรสุทธิลดลงถึง 49% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 1997 คือมีกำไรสุทธิ 222.7 ล้านเหรียญเทียบกับปี 1997 ที่มีกำไรสุทธิ 436.4 ล้านเหรียญ ดีบีเอสรายงานว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ผลกำไรลดลงมากนั้น เพราะมีการนำเงินไปตั้งสำรองหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในธนาคารลูกที่ดีบีเอสเข้าไปซื้อกิจการ ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย เกาหลี และฟิลิปปินส์ วงเงินที่มีการตั้งสำรองเมื่อสิ้นปี 1998 เท่ากับ 996.4 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 101.1% เมื่อเทียบกับงวดสิ้นปี 1997 ที่มีการตั้งสำรอง 495.5 ล้านเหรียญ

ดีบีเอสมีกำไรสุทธิลดลงไม่มากเท่าที่รายงาน คือลดลงแค่ 27.6% หากไม่นับผลการดำเนินงานของธนาคาร ไทยทนุและธนาคาร POSBank ในสิงคโปร์ นั่นหมายความว่าผลการดำเนินงานของธนาคารทั้งสองแห่งน ี้เป็นตัวฉุดผลการดำเนินงานของดีบีเอสอย่างมาก

ตัวเลขที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งที่มีการรายงานเมื่อสิ้นปี 1998 คือสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของ ดีบีเอสซึ่งมีจำนวน 7,086 ล้านเหรียญเมื่อรวม NPLs ของไทยทนุ และเท่ากับ 4,211.7 ล้านเหรียญหากไม่รวม NPLs ของไทยทนุ ซึ่งปรากฏว่าในปี 1998 นี้ NPLs ของดีบีเอสเพิ่มขึ้นถึง 278.8% เมื่อเทียบกับ NPLs ปี 1997 ที่มีอยู่ 1,112 ล้านเหรียญ

สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของดีบีเอสในปี 1998 คิดเป็น 8.2% ของสินเชื่อทั้งหมดเมื่อนับรวมไทยทนุ และคิดเป็น 5.2% ของสินเชื่อทั้งหมดเมื่อไม่นับไทยทนุ หรือเพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับอัตราส่วน NPL1.9% ในปี 1997

จะเห็นได้ว่า การพลิกวิกฤติเป็นโอกาสในกรณีไทยทนุไม่ใช่เรื่องง่าย และยังไม่รู้ว่าโอกาสนี้จะให้ผลลัพธ์อย่างไร

นโยบายการซื้อกิจการสถาบันการเงินในภูมิภาคน ี้เป็นทิศทางสำคัญของดีบีเอส ในช่วงจังหวะที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย มันเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ Lee Hsien Loong กล่าวไว้เมื่อเดือนมิถุนายน 1998 ว่า "ความใหญ่เป็นประเด็นสำคัญของกิจการสถาบันการเงินนานาชาติ" คำพูดที่กระตุ้นให้มีการมองโอกาสในการซื้อหรือควบกิจการในต่างประเทศ ซึ่ง John Olds ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาร่วมงานกับดีบีเอสเมื่อเดือนสิงหาคม 1998 มีภาระต้องผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดดอกออกผลเร็วที่สุด

โอลด์ส เป็นวาณิชธนากรที่ได้รับความนับถือคนหนึ่งในวงการ เขามีประสบการณ์ยาวนานถึง 25 ปีกับเจ.พี.มอร์แกน-สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่รายหนึ่งของสหรัฐฯ ตอนที่เขาเข้ามาดำรงตำแหน่งในดีบีเอสนั้น ผู้คนต่างพากันประหลาดใจ เพราะเขาเป็นผู้บริหารสูงสุดชาวต่างชาติคนแรกก็ว่าได้ ในกิจการที่ใหญ่ที่สุดและเป็นกิจการของรัฐในสิงคโปร์ มีการอธิบายว่านี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ารัฐบาลสิงคโปร์ซึ่งมีนโยบายที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นในดีบี เอสลงให้เหลือ 42% จริงจังกับการปรับ ปรุงแก้ไขภาพพจน์อุตสาหกรรมธนาคาร ของประเทศ

โอลด์สมีภารกิจที่จะต้องสร้างให้ดีบีเอสเป็นธนาคารภูมิภาคให้สำเร็จ ซึ่งแนวทางนี้เท่านั้นที่รัฐบาลสิงคโปร์มองว่าจะสามารถทำให้ดีบีเอสอยู่รอดและมีความมั่นคงได้ แม้ว่าการไล่ซื้อกิจการธนาคารในประเทศต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นการปักธงชัยลงบนผืนดินของภูมิภาคนี้ จะดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าใดนัก แต่กระบวนการนี้ยังสามารถดำเนินไปได้ และมันยังเพียงแค่บทเริ่มต้นเท่านั้นในความเห็นของโอลด์สผู้ซึ่งไม่ใคร่ชอบพบหน้านักข่าวสักเท่าใด และยอมเปิดตัวกับนักลงทุนหลังจากเข้ามาทำงานแล้ว 6 เดือน ต้องถือว่าเขาเป็นคนที่โลว์โปรไฟล์คนหนึ่งทีเดียวในหมู่นักการธนาคารอาเชียน

นอกจากการเข้าซื้อกิจการแบงก์ไทยทนุแล้ว ดีบีเอสซื้อกิจการ retail bank ชื่อ Kwong On จำนวน 79.2% ในฮ่องกง ส่วนการซื้อกิจการสถาบันการเงินในมาเลเซียนั้น ยังไม่ใช่จังหวะเหมาะสักเท่าไหร่ในเวลานี้ อย่างน้อยก็จนกว่าทางการมาเลเซียจะยอมให้นักลงทุนต่างชาติครอบครองหุ้นส่วนข้างมากได้ ส่วนในอินโดนีเซียนั้น อาจจะเร็วเกินไปที่จะคิดเข้าไปซื้อในตอนนี้ (ราคาอาจจะยังแพงอยู่? หรือรอให้เหตุการณ์ทางการเมืองมีความสงบเรียบร้อยมากกว่านี้ และนโยบายของรับบาลชุดใหม่?) แต่โอลด์สยังมีแนวคิดนี้อยู่ในอินโดนีเซีย

การขยายกิจการลงรากฐานในภูมิภาคเป็นภารกิจสำคัญของโอลด์สก็จริง แต่เขาต้องมองด้วยว่าเมื่อเข้าไปได้ในแต่ละประเทศแล้ว เขาจะแข่งขันกับสถาบันอื่นๆ อย่างไร ทั้งนี้ดีบีเอสมีจุดแข็งอย่างมากในประเทศตัวเอง คือ การเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่สุดในตลาดการทำ IPO หรือการขายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเรื่องแน่อยู่แล้ว เพราะรัฐบาลสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร และเมื่อบริษัทรายใหญ่ต้องการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ รัฐบาลต้องให้การช่วยเหลือสนับสนุน แต่ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ไม่ได้มีในประเทศไทย กระนั้นก็ดี ธนาคารพาณิชย์รายอื่นๆ ต่างมองว่าดีบีเอสเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวเพราะมีความแข็งแกร่งมั่นคงและมีการบริหารการจัดการที่ดี

ไม่ใช่แต่เพียงขยายกิจการไปในภูมิภาค การซื้อกิจการในประเทศ ดีบีเอส ทำให้ ไม่แน่ว่าเป็นนโยบายรัฐบาลหรืออย่างไร ดีบีเอสซื้อกิจการธนาคารออมสินในสิงคโปร์ชื่อ POSBank เมื่อปีที่แล้ว การซื้อครั้งนี้ทำให้ดีบีเอสมีส่วนแบ่งตลาดลูกค้ารายย่อย (retail market) ถึง 40% ถือเป็นเจ้าตลาดไปแล้วในสัดส่วนขนาดนี้ และยังครองตู้เอทีเอ็มมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดด้วย

แน่นอนว่าการรุกไปในตลาดลูกค้ารายย่อย เป็นทิศทางของดีบีเอส ซึ่งการขยายตัวภายในประเทศในช่วงที่ผ่าน มานั้นเริ่มให้ผลตอบแทนหรือ return ที่ต่ำเกินไปแล้ว โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น ดีบีเอสจึงต้องเล็งไปยังฐานลูกค้านอกประเทศ หรือฐานลูกค้าทั่วภูมิภาค

แต่นโยบายนี้จะใช้ได้ในทั่วภูมิภาคจริงหรือไม่ ต้องรอดู เพราะตลาดนี้ในไทยมีผู้จับจองหลายราย ที่สำคัญไทยทนุแต่เดิมมีส่วนแบ่งค่อนข้างน้อย เพราะเป็นธนาคารขนาดเล็ก และตอนนี้ยังเคลื่อนตัวช้ากว่าธนาคารขนาดเดียว กันอีกรายหนึ่ง แม้จะเร็วกว่าอีก 2 รายที่เพิ่งถูกซื้อกิจการโดยนักลงทุนต่างชาติ

ดีบีเอสและสถาบันการเงินในเครือถือเป็นกลุ่มธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ด้วยมูลค่าเงินกองทุน 10.5 พันล้านเหรียญ และมูลค่าสินทรัพย์รวม 111.4 พันล้านเหรียญ ณ 30 มิถุนายน 1999 นอกจากนี้ธนาคารยังเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าตามราคาตลาดที่มากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารได้แก่ MND Holdings (Private) Limited (20.9%) และ Temasek Holdings (Pte) Ltd (19.0%) ซึ่ง 2 หน่วยงานนี้ควบคุมดูแลโดยกระทรวงการคลังสิงคโปร์

เมื่อเริ่มก่อตั้งในปี 1968 นั้นดีบี เอสมีลักษณะเป็นสถาบันเงินทุนเพื่อการพัฒนา แต่แล้วขยายกิจการออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปในทศวรรษ 1980 นี่เอง มีการให้ บริการทุกอย่างแบบธนาคารพาณิชย์ ดีบีเอสมีสาขา 168 แห่งในสิงคโปร์ มีบริษัทลูกหลายแห่งในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย นอกจากนี้มีธนาคารสาขาและสำนักงานในสหรัฐอเม-ริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน เกาหลี และประเทศไทย รวมทั้งยังมีธนาคารตัวแทน (Correspondent Bank) อีก 900 แห่งทั่วโลก

ดีบีเอสได้รับการจัดอันดับ 1 ใน 100 อันดับของธนาคารชั้นนำของโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นสถานะทางการเงินชั้นเยี่ยม คุณภาพสินทรัพย์ที่ดี และการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นสถาบันการเงินในภูมิภาค ปัจจุบันดีบีเอสเป็นผู้นำในตลาด IPO และการทำรายการด้านหลักทรัพย์ในตลาด Public Offering และในตลาดทุนสิงคโปร์ นอกจากนี้ธนาคารยังมีชื่อเสียงชั้นนำในการรับฝากหลักทรัพย์หรือ Custodian ให้กับนักลงทุนสถาบัน และเป็น Global Custodian ด้วย ซึ่งธนาคารได้ขยาย คัสโตเดียนแฟรนไชส์ไปทั่วทั้งภูมิภาคอีกด้วย

บทบาทที่สำคัญอีกด้านหนึ่งคือการเป็น key player ในตลาดเงินสิงคโปร์ เป็น Market Maker ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สิงคโปร์และดอลลาร์สหรัฐ และธนาคารยังเป็นผู้นำในธุรกิจ Corporate Lending หรือการปล่อยสินเชื่อให้วิสาหกิจต่างๆ และการปล่อยสินเชื่อในลักษณะ Project Finance

(เรียบเรียงจาก Asiaweek,April 2, 1999, www.dbs.com.sg)

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us