"สุภัค ศิวะรักษ์" เผยเร่งลดหนี้เน่า 6,000 ล้านก่อนแบงก์ชาติคลอดเกณฑ์ตั้งสำรอง
ใหม่ในไตรมาสสอง หนีการตั้งสำรองเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท เตรียมเดินหน้าไกล่เกลี่ยหนี้เน่าทั้งปรับโครงสร้างหนี้และฟ้องศาลบังคับคดี มั่นใจสิ้นปีนี้เอ็นพีแอลเหลือ 5% แน่นอน
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
ปัจจุบันธนาคารมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ที่ยังไม่ได้อยู่ในขั้นตอนการปรับโครงสร้าง
หนี้และยังไม่ได้อยู่ในกระบวนการฟ้องร้องศาลบังคับคดีประมาณ 5,000 - 6,000 ล้านบาท
ซึ่ง หากธนาคารปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
ออก เกณฑ์ลดมูลค่าการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันในช่วง ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้แล้ว จะส่งผลให้ธนาคารมีภาระต้องตั้งสำรองหนี้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการตั้งสำรองในส่วนนี้เพิ่มธนาคารจึงต้องเร่งดำเนินการ
แก้ไขหนี้เสียก่อนดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด โดยจะเชิญลูกหนี้เข้ามาเจรจาเพื่อปรับโครงสร้าง
หนี้หรือดำเนินการฟ้องร้องศาลโดยเร็วที่สุด
"ธนาคารยังไม่มีนโยบายในการตั้งสำรองเพิ่มเติมเผื่อเอ็นพีแอล ที่เข้าหลักเกณฑ์ว่าด้วยการลดมูลค่าหลักประกันไปตั้งสำรองภายใน 2 ปี ที่ธนาคารจะประกาศในเร็วๆ นี้ โดยที่ทางธนาคาร จะใช้วิธีการเร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้
ที่เป็นเอ็นพีแอลให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แต่หากหาข้อ ตกลงร่วมกันไม่ได้ก็จำเป็นที่จะต้องส่งฟ้องศาลเพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไป
ทั้งนี้ สัดส่วนของ ลูกหนี้เอ็นพีแอลที่ยังไม่ได้ดำเนินการ 50% เป็นลูกหนี้ที่มีหนี้เป็นวงเงินมากกว่า
5 ล้านบาทขึ้นไป" นายสุภัคกล่าว
นายสุภัค กล่าวต่อว่า การที่แบงก์ชาติเตรียมออกมาตรการนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมและสามารถลดเอ็นพีแอลในระบบได้มากขึ้น ทั้งนี้ เพราะสภาพเศรษฐกิจของประเทศกำลังอยู่ ในช่วงขาขึ้น นับว่าอยู่ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการเร่งลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของระบบที่มีปริมาณมากถึง 17-18% ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อ ให้เกิดรายได้ทั้งหมดของธนาคารทหารไทยนั้น ณ สิ้นปี 2546 มีอยู่ประมาณ 32,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 10.8% ของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร ใน
ส่วนนี้ธนาคารได้ตั้งสำรองสูงถึง 84% ซึ่งถือว่าสูง กว่าเกณฑ์ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ไว้มาก ดังนั้น หากเกณฑ์การตั้งสำรองใหม่ออกมาบังคับใช้ธนาคารทหารไทยจะไม่มีปัญหาดังกล่าวอย่างแน่นอน
และมั่นใจว่าในสิ้นปีนี้ธนาคาร จะสามารถลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้เหลือเพียง
5% ได้อย่างแน่นอน
ส่วนการควบรวมธนาคารทหารไทย ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ จำกัด (มหาชน) และ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ IFCT นั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของโดยรวมของธนาคารทหารไทยเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
อีกทั้งยังไม่กระทบ ต่อแผนการปรับโครงสร้างหนี้และการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ธนาคารกำลังดำเนินการอยู่
แต่อย่างใด อีกทั้งการปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
และแผนการดำเนินงานของธนาคารด้านอื่นๆ ที่ได้วางไว้ก็ไม่มีการสะดุดแต่อย่างใด
"ในระยะนี้ธนาคารกำลังเร่งดำเนินการในเรื่องการควบรวมให้แล้วเสร็จก่อน แต่ก็ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ลดเอ็นพีแอล ปล่อยสินเชื่อควบคู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้แผนงาน ที่วางไว้เกิดการสะดุด และยังยืนยันว่าภายใน
สิ้นปีนี้เอ็นพีแอลของธนาคารทหารไทยจะเหลือ 5% ได้อย่างแน่นอน ส่วนเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อก็ได้ตามเป้าหมายแน่นอน" นายสุภัค กล่าว