คณะรัฐมนตรีไฟเขียวมาตรการภาษีกระตุ้นตลาดทุน ทั้งการยืดระยะเวลาการลดภาษีให้บริษัทจดทะเบียนใหม่ที่นำหลักทรัพย์เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดใหม่ภายในสิ้นปี 2548 รวมทั้งภาษีส่งเสริมการลงทุนผ่านนักลงทุนสถาบัน ขณะที่รมว.คลัง "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ไม่ห่วงผลกระทบของรายได้รัฐบาล แม้จะลดลง กว่าปีละ 2.2
พันล้านบาท ด้านผู้บริหารบลจ. มั่นใจมาตรการภาษีหนุนให้ธุรกิจกองทุน รวมที่ลงทุนในหุ้นขยายตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันคาดว่าจะสรุปได้ภายใน
2 เดือน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี
(ครม.) วานนี้ (27 เม.ย.) ว่าครม.ได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อพัฒนาตลาดทุน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อช่วยพัฒนาการลงทุนในตลาดทุนระยะยาว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ
กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (ก.ล.ต.) เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา
ยืดเวลาลดภาษีบจ.ใหม่ถึงสิ้นปี48
สำหรับสาระสำคัญของมาตรการภาษีดังกล่าว ประกอบด้วย สิทธิประโยชน์ทางภาษี 3 ประการ
คือ ประการแรก การขยายการให้สิทธิประโยชน์ภาษีสำหรับบริษัทที่มีการนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หรือ ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ จากวันที่ 5 กันยายน 2547 นี้ ออกไปอีก 1 ปี 3 เดือน หรือสิ้นสุด
31 ธันวาคม 2548
โดยบริษัทที่นำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในระยะเวลาดังกล่าว จะได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติ
บุคคลจากอัตรา 30% เหลือ 20% ของกำไรสุทธิเป็นเวลา 5 รอบระยะ เวลาบัญชีสำหรับกรณีนำหลักทรัพย์
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ใหม่ (MAI) และเหลือ 25% ของกำไรสุทธิเป็นเวลา 5
รอบระยะเวลา บัญชี สำหรับกรณีนำหลักทรัพย์เข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทที่นำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนกับตลาดหลัก ทรัพย์ฯ ได้มีการเตรียมความพร้อม
ขณะที่ทางก.ล.ต. เองมีเวลาในการพิจารณาคุณภาพของบริษัทเหล่านั้นด้วย รวมทั้งเพื่อเป็น
การกระจายการนำหุ้นใหม่เข้าเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยไม่กระจุกตัวมากจนเกินไป
"การขยายระยะเวลา อาจมีผลกระทบต่อรายได้การจัดเก็บภาษีบ้างในระยะสั้น แต่จะเป็น
ผลดีต่อระบบจัดเก็บในระยะยาว เนื่องจากบริษัทที่จดทะเบียนจะมีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส
หากให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนี้สิ้นสุดปีนี้ จะมีปัญหาเรื่องกระบวนการในการตรวจสอบบริษัทที่ต่างเร่งรัดเข้ามาช่วงนี้
บางบริษัทมีคำ ขอไม่เรียบร้อย จะส่งผลเสียในภาพรวมได้"
ผ่อนปรนเกณฑ์ลงทุน "RMF"
ประการที่ 2. การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ภาษีกรณีการลงทุนในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ
(RMF) โดยผ่อนหลักเกณฑ์ เงื่อนไขในการลงทุนผ่าน RMF โดยกำหนดให้ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดา
สามารถนำเงินได้ทุก ประเภทมาซื้อหน่วยลงทุนใน RMF ได้รับการลด หย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่ากับเงินที่จ่าย
เป็นค่าซื้อหน่วยลงทุน ในอัตราไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000
บาทของปี ภาษีนั้น เมื่อรวมกับเงินที่ลงทุนในกองทุนบำเหน็จ บำนาญข้าราชการ หรือ
กบข. จากเดิมที่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี สำหรับการนำเงินได้บางประเภทมาซื้อหน่วยลงทุนเท่านั้น
การผ่อนปรนให้ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้
หรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนที่ถือมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
ให้แก่ RMF จากเดิมที่กำหนดให้ได้รับยกเว้นภาษี เฉพาะกรณีการขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อมีอายุ
55 ปีขึ้นไป หรือ มีทุพพลภาพ หรือตายเท่านั้น
"การผ่อนปรนหลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติข้างต้น จะมีส่วนส่งเสริมให้มีการลงทุนในกองทุน
มากขึ้น เป็นการสร้างความมั่นคงในด้านรายได้สำหรับผู้ลงทุน และทำให้กองทุนสามารถนำเงินไปลงทุนในตลาดทุนระยะยาวได้มากขึ้นด้วย
ซึ่งกรณีนี้จะมีผลกระทบต่อรายได้ภาษีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"
ลดภาษีกองทุนหุ้นระยะยาว
ประการที่ 3. การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับบุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อ
การลงทุนในตราสารแห่งทุนระยะยาว ตามกฎ หมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ
ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดตั้งได้ภายใน 3 เดือน โดยให้ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดา ที่ซื้อหน่วยลงทุน
ในกองทุนรวมเพื่อการลงทุนในตราสารแห่งทุนระยะยาวฯ ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นและจำหน่วยหน่วย
ลงทุนเป็นครั้งแรก ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 หรือ 3 ปีข้างหน้า ได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดาเท่ากับเงินที่ลงทุนในอัตราไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกินปีละ
300,000 บาท
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดา หากมีเงินได้ หรือผลประโยชน์ใดๆ
จากการขายหน่วยลงทุนที่ถือมาแล้วไม่น้อย กว่า 5 ปี คืนให้กับกองทุนรวมเพื่อการลงทุนในตราสารแห่งทุนระยะยาวฯได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินที่ได้รับ
กระทบรายได้ภาษีปีละ 2.2 พันล้าน
"ในระยะยาวจะมีผลกระทบต่อรายได้ภาษี ปีละประมาณ 2,200 ล้านบาท แต่จะมีส่วนสนับ
สนุนในด้านการลงทุน ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องทำให้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในระยะยาว"
นายสมคิด กล่าวว่ามาตรการสิทธิประโยชน์ ทางภาษีดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้หลังจากผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นาน สามารถทันใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการยื่นแบบภาษีในปีงบประมาณ
2548 หรือช่วง มีนาคม 2548 แน่นอน
นายสมคิด กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการสิทธิ ประโยชน์ทางภาษีเป็นการพัฒนาตลาดทุนในระยะยาว
ไม่ใช่เป็นการกระตุ้นตลาด แต่เป็นการ ปูพื้นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุน
เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งระบบ 2,000,000 ล้านบาท
แบ่งเป็นนักลงทุนต่างประเทศ 1.10 ล้านล้านบาท นักลงทุนรายย่อย 5 แสนล้านบาท และนักลงทุนสถาบัน
4 แสนล้านบาท
"การสร้างเสถียรภาพตลาดทุน จำเป็นต้อง เพิ่มสัดส่วนนักลงทุนประเภทสถาบันให้มากพอ
และได้ดุลกับนักลงทุนรายย่อย เพราะนักลงทุนรายย่อยจะตกใจเทขาย และช้อนซื้อตามนักลงทุนต่างประเทศ
ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดทุน"
หวังพัฒนาตลาดทุนระยะยาว
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) กล่าวว่า มาตรการทาง ด้านภาษีที่ออกมาตรงกับความต้องการของ ก.ล.ต.ที่อยากให้ตลาดทุนมีความแข็งแกร่ง
และมีการพัฒนาไปได้ในระยะยาว ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวสร้างให้ตลาดทุนมีเสถียรภาพ
รวมทั้งเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนมีทางเลือกในการออมและยังเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนด้วย
สำหรับมาตรการในการจัดตั้งกองทุนหุ้นสามัญระยะยาวนั้น หลังจากที่ครม.มีมติเห็นชอบไปแล้ว
ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2547 ทางคณะกรรมการก.ล.ต. เตรียมที่จะยกร่างกฎ ก.ล.ต.เพื่อเสนอให้กฤษฎีกาพิจารณา
ก่อนที่จะมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้คาดว่า จะสามารถประกาศได้ภายในอีก
3 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ หลักการเบื้องต้นในการจัดตั้งกองทุน จะต้องมีขนาดในการจัดตั้งประมาณ
50 ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีผู้ถือหน่วยลงทุนมากกว่า 10 ราย ถึงจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนได้
โดยกองทุนนี้จะเป็นกองทุนเปิด มีระยะเวลา 10 ปี ซึ่ง จะมีการลงทุนในหุ้นเท่านั้น
และในการซื้อคืนนั้นได้มีการกำหนดช่วงเวลาในการซื้อคืนไว้ แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดว่าเป็นช่วงเวลาใด
พร้อมเดินหน้าปรับลดภาษีนิติบุคคล
สำหรับกรณีที่นายสมคิด มอบนโยบายการ ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้นั้น
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปว่าจะมีการปรับลดภาษีลงเหลือระดับเท่าใด
แต่ภายใน 1-2 วันนี้ จะหารือถึงแนวทางการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล กับนาย ศุภรัตน์
ควัฒกุล อธิบดีกรมสรรพากร และคาด ว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการสรุปแนวทาง
ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง
เปิดเผยว่า สศค.อยู่ระหว่างการศึกษาผลดี ผลเสีย จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีในทุกรายการที่มีแนวทางปรับเปลี่ยนอัตราอากรอยู่
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ ผู้บริหารบลจ.มั่นใจหนุนธุรกิจกองทุน
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์
จำกัด กล่าวว่าการให้สิทธิประโยชน์ทาง ภาษีแก่ผู้ซื้อหน่วยลงทุนคาดว่าจะสามารถกระตุ้นให้มีการลงทุนผ่านกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นมากขึ้น
และส่งผลทำให้กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจะมีการขยายตัวมากขึ้นด้วย เนื่องจากยังมีหุ้นที่มีพื้นฐานทางธุรกิจแข็งแกร่งอีกมากให้นักลงทุนสถาบันเลือกลงทุน
แต่ทั้งนี้การลงทุนในตลาดหุ้นจะต้องคำนึงถึงภาวะตลาด หุ้นด้วย
"มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีนี้ เป็นมาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุนมาก
แต่ภาครัฐควรจะมีความคาดหวังที่ถูกต้องต่อมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันได้เพียงใด
เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นจะต้องอาศัยจังหวะและภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย นอกจากนี้มาตรการนี้ยังมีข้อจำกัดว่าให้ลงทุนระยะยาว"
นายอดิศร กล่าว
ทั้งนี้การกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีนี้มีความคล้ายคลึงกับกองทุน RMF จึงมีความกังวลว่าจะมีความซ้ำซ้อนกันได้
ทำให้ผู้ถือหน่วย ลงทุน ในกองทุน RMF หรือที่ลงทุนแล้วแต่ยังไม่เต็มวงเงินลดหย่อนทางภาษีอาจโยกย้ายเงินลงทุนส่วนหนึ่งมาลงทุนในกองทุนใหม่นี้
เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยปัจจุบันการลงทุน ในหุ้นของกองทุน RMF มีมูลค่าประมาณ
2-3 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กองทุนที่ลงทุนในหุ้นเดิมไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวมากนัก
โดยปัจจุบันมูลค่ากองทุนที่ลงทุนในหุ้นและกองทุนผสมแบบยืดหยุ่นที่ลงทุนในหุ้นมีมูลค่ารวมกันทั้งหมดประมาณ
5 พันล้านบาท คาดว่าหากมีการเปิดกองทุนใหม่ตามเกณฑ์สิทธิประโยชน์ทางภาษีนี้อาจสามราถระดมเงินในช่วงแรกได้ประมาณ
1 พันล้านบาท
นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม
อยุธยาเจเอฟ จำกัด กล่าวว่า กองทุน RMF และกองทุนหุ้นเดิมที่เปิดก่อนจะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว
อาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจเกิดการโยกย้ายเงินลงทุนจากกองทุนหุ้นเดิมมาลงทุนในกองทุนหุ้นใหม่ได้
สำหรับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ซื้อหน่วยลงทุนนั้น น่าจะทำให้มีนักลงทุนที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้น
หากเป็นเม็ดเงินใหม่ที่นำมาลงทุนจะทำให้ธุรกิจกองทุนรวมมีการ ขยายตัว และเป็นการเพิ่มสัดส่วนจำนวนนักลงทุนสถาบันในตลาดให้มากขึ้นได้