Q1 ปี 47 ก.ล.ต.สั่งระงับพฤติกรรมของบริษัทจด ทะเบียนที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในลักษณะฟอกเงิน
5 รายมูลค่า 3,000 ล้านบาท เผยถ้าเตือนแล้วไม่ฟังพร้อมเรียกผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนมาชี้แจงต่อคณะทำงานวินัยกรรมการด้วยตัวเอง แจงกรณี Standard & Poor's เป็นเพียงการสำรวจไม่ใช่ประเมิน พร้อมเตรียมทบทวนนำข้อมูลบางส่วนใน
56-1 ที่เกี่ยวกับบรรษัทภิบาลไปลงในรายงานประจำปีด้วย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรม การกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานได้มีนโยบายติดตามพฤติกรรมของบริษัทจดทะเบียน
ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เป็นลักษณะของการฟอกเงิน หรือการเอื้อ ประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่พบว่า
ไตรมาสแรกปีนี้ได้ดำเนินการระงับการกระทำที่ไม่เหมาะสมแล้ว 5 รายโดยมีมูลค่ารายการรวมทั้งสิ้นประมาณ
3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต.ได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 ชุดประกอบ ด้วยคณะทำงานเพื่อทำการวิเคราะห์เจาะลึกรายการที่ไม่เหมาะสม
ในงบการเงินและสั่งแก้ไข รวมถึงรายการที่เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นราย ใหญ่ และคณะทำงานที่สองเพื่อสร้างวินัยกรรมการของบริษัทจดทะเบียน
ถ้าสำนักงาน ก.ล.ต.เตือนแล้ว และบริษัทจดทะเบียนยังไม่เชื่อ โดยยังดำเนินการต่อไป
สำนักงานก.ล.ต.ก็อาจจะเรียกผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงต่อคณะทำงานวินัยกรรมการด้วยตัวเอง
ดังนั้นจึงขอเตือนให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในกรณีที่มีรายการที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นใหญ่
สำหรับ 5 บริษัทจดทะเบียนที่ถูกสำนักงาน ก.ล.ต.ระงับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้นมีลักษณะการดำเนินการคือ
บริษัทมีโครงการจะนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อให้กู้ยืมแก่บริษัท ที่เกี่ยวข้องกัน
แต่ไม่ระบุรายชื่อบริษัทให้ชัดเจน และมูลค่าการให้กู้ยืมดังกล่าวมีจำนวนสูง ซึ่งบริษัทก็ไม่ได้จัดให้มีที่ปรึกษาทางการเงินให้ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของรายการภายหลังสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.ทักท้วงบริษัทได้ตัดสินใจยกเลิกโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้กรณีบริษัทมีโครงการจะนำเสนอ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อให้กู้ยืมแก่
Holding Company ซึ่งมิได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ทางการค้าประจำวันกับบริษัท และมีเงินกู้คงค้างกับบริษัทอยู่แล้วจำนวนมาก
ภายหลังจากสำนักงาน ก.ล.ต. ทักท้วงบริษัทได้ตัดสินใจยกเลิกโครงการดังกล่าว กรณีบริษัทที่
3 จากข้อมูลในงบการเงินพบว่าบริษัทได้ทยอยให้กู้เงินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อใช้ในโครงการสนามกอล์ฟ
ซึ่งมิใช่โครงการของบริษัท
โดยรายการดังกล่าวเป็นรายการที่เกี่ยวโยง ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่ได้ขอความ
เห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ทักท้วงบริษัทได้ตัดสินใจเรียกหนี้ทั้งหมด คืนบริษัทที่ 4 คือบริษัทมีโครงการจะนำสินทรัพย์
ของบริษัทไปค้ำประกันวงเงินกู้ที่ผู้ถือหุ้นใหญ่จะกู้ยืมจากสถาบันการเงินทั้งที่บริษัทเองก็ยังอยู่ในระหว่างฟื้นฟูกิจการภายหลังจากสำนักงาน
ก.ล.ต.ทักท้วง บริษัทได้ยกเลิกการค้ำประกันดังกล่าว
ส่วนบริษัทที่ 5 นั้นบริษัทมีโครงการจะซื้อโรงงานผลิตวัตถุดิบจากผู้ถือหุ้นใหญ่
ทั้งที่บริษัท มีความต้องการใช้วัตถุดิบดังกล่าวไม่มากนัก และในขณะเดียวกันผู้ถือหุ้นใหญ่รายดังกล่าวก็ยังทำ
ธุรกิจผลิตวัตถุดิบนั้นอยู่ซึ่งเป็นการแข่งขันกับบริษัทโดยตรงภายหลังจากที่สำนักงาน
ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ทักท้วง บริษัทได้ยกเลิกโครงการดังกล่าว
นายธีระชัยกล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า Standard & Poor's ที่ระบุว่าบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ดี
หรือไม่มีบรรษัทภิบาลที่ดีนั้น โดยรายงานดังกล่าวมิได้เป็นการประเมินคุณภาพการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน
แต่เป็นเพียงการสำรวจว่าบริษัทจดทะเบียนได้กล่าวถึงการปฏิบัติตามหลักบรรษัทภิบาลไว้ในรายงานประจำปีหรือไม่
เพียงใด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯได้เคยทำ รายงานผลการประเมินการปฏิบัติตามหลักบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียนพบว่าบริษัทจดทะเบียนส่วนมากปฏิบัติตามหลักบรรษัทภิบาล
15 ข้อของตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว เพียงแต่บาง บริษัทไม่ได้นำมาเปิดเผยไว้ในรายงานประจำปีของบริษัท
แต่นำไปเปิดเผยไว้ในรายงานอื่น เช่นในแบบรายการ 56-1 เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สำนักงานจะทบทวนการเปิด เผยข้อมูล โดยจะนำข้อมูลบางส่วนในแบบรายการ
56-1 ที่เกี่ยวข้องกับบรรษัทภิบาลมาไว้ในรายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียนด้วย เพื่อเป็นการเน้นให้ผู้ลงทุนได้รับรู้ถึงพัฒนาของการปฎิบัติตามหลักบรรษัทภิบาลของแต่ละบริษัท
ซึ่งสำนักงานก.ล.ต.จะยกร่างข้อเสนอเพื่อหารือกับตลาดหลักทรัพย์และสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยต่อไป