กลุ่มธนชาติ วางแผนลดสัดส่วนถือหุ้นในแบงก์ธนชาต เหลือ 50% จากที่ถือกว่า 98%
พร้อมเปิดทางให้พันธมิตรต่างชาติเข้าถือหุ้นเสริมความแข็งแกร่งโดยเฉพาะพันธมิตรต่างชาติ
ระบุเตรียมประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 29 เม.ย.ขอเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 7 พันล้านบาท
เป็น 1.5 หมื่นล้านบาท ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมราคาพาร์ ยันคงบริษัทธนชาติ โฮลดิ้งที่เป็นบริษัทแม่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ส่วนแบงก์เสนอทางเลือก 3 ทาง ตั้งเป้า 3 ปีเพิ่มสาขา 180 สาขา ชิงมาร์เกตแชร์ 5%
ของระบบ
นายบันเทิง ตันติวิท ประธานกรรมการ บริษัทเงินทุน (บง.) ธนชาติ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่ากลุ่มธนชาติได้มีการปรับโครง สร้างใหญ่ทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บท
ทางการเงิน หลังจากกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ธนาคารธนชาต เปิดดำเนินธุรกิจเพิ่มอีก
2 ประเภท คือ เปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวัน และทำธุรกรรมต่างประเทศ ทำให้ธนาคาร
มีขอบเขตการบริการทางการเงินเหมือนกับธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง
สำหรับโครงสร้างใหม่นั้น บง.ธนชาติ ที่ถือ หุ้นธนาคารธนชาต จะดำเนินธุรกิจเป็นเพียงบริษัทแม่ในกลุ่มธนชาติ
(Holding Company) ถือหุ้นใหญ่ในกลุ่มธุรกิจอื่นของธนชาติ และคืนใบอนุญาตเงินทุน
(บง.) ให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใน 1 ปี โดยในส่วนของธุรกิจเช่าซื้อที่เป็นสัญญาเดิมยังคงดำเนินต่อ
ไปจนกระทั่งหมดอายุสัญญา ขณะที่สัญญาเช่าซื้อ ใหม่จะต้องขอสินเชื่อจากธนาคารแห่งใหม่เท่านั้น
ส่วนบทบาทของบริษัท ธนชาติ จำกัด (มหาชน) บริษัทโฮลดิ้งคอมปานี ที่จะเกิดขึ้นใหม่
นั้น มีนโยบายที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถการแข่งขันภายใต้กรอบของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(Financial Master Plan) ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนที่จะปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารลงเหลือประมาณ
50% จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 98% "การลดสัดส่วนการถือหุ้นธนาคารธนชาต
มีจุดประสงค์เพื่อดึงพันธมิตรเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง และศักยภาพในการแข่งขัน
โดยจะเปิดกว้างให้ทั้งพันธมิตรในประเทศและต่างประเทศ แต่ผมมองว่าพันธมิตรต่างประเทศน่าจะเหมาะสมมากกว่า"
พร้อมกันนี้ ธนาคารยังมีการปรับโครงสร้าง ให้สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน เพื่อให้การดำเนิน
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแกร่ง จึงเตรียม แผนที่จะเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน
7,000 ล้านบาท โดยจะเสนอให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น พิจารณาอนุมัติในวันที่ 28
เมษายนนี้ หลังจากผ่านขั้นตอนการอนุมัติแล้วจะทำให้ธนาคารมีทุน จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น
15,000 ล้านบาท และมีสัดส่วนกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) อยู่ประมาณ 12-15%
โดยเป็นกองทุนขั้นที่ 1 ทั้งจำนวน
สำหรับสถานะการดำรงสภาพการเป็นบริษัทจดทะเบียนหลังจากการปรับโครงสร้างใหม่แล้ว
บริษัทโฮลดิ้งใหม่จะยังคงดำรงฐานะบริษัทจดทะเบียนใตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ขณะที่ธนาคารธนชาตในเบื้องต้นจะยังดำรงฐานะเป็นบริษัทจดทะเบียนต่อไป แต่ในอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
โดยมีแนวทางอยู่ 3 แนวทาง คือ ขอเพิกถอนออกจาก ตลาดหลักทรัพย์ฯ การกระจายหุ้นเพิ่ม
หรือดำรง สถานะบริษัทจดทะเบียนเช่นเดิม
นายบันเทิง กล่าวเพิ่มเติมถึง แผนการเพิ่ม ทุนจดทะเบียน ว่า ธนาคารจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในราคาตามมูลค่าที่กำหนดไว้
(ราคาพาร์) 10 บาท ซึ่งบริษัทแม่ยืนยันว่าจะเข้าซื้อหุ้นเต็มสัดส่วนเดิมที่ถืออยู่
รวมถึงสัดส่วนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยขอ สละสิทธิในการจองซื้อด้วย โดยจะนำเงินจากบริษัทแม่ที่ไม่จำเป็นต้องมีการตั้งสำรอง
BIS ตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าซื้อ หุ้น และยืนยันว่าบริษัทแม่จะไม่ต้องเพิ่มทุนอีกภายใน
3 ปี
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล นั้นกลุ่มธนชาติมีหนี้เอ็นพีแอลรวมทั้งสิ้นประมาณ
9,000-10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 9-10% ของจำนวนสินเชื่อรวม ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใน
บริษัทบริหารสินทรัพย์ และซื้อหนี้มาจากสถาบัน การเงินแห่งอื่น ขณะที่ในส่วนของธนาคารมียอด
เอ็นพีแอลจำนวน 1,400 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่ส่วน ที่จะเกิดปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้านั้น นายบันเทิง กล่าวว่าธนาคารมีแผนที่
จะขยายสินเชื่อประเภทเช่าซื้อเป็นหลัก โดยตั้งเป้า จะมีรายได้จากสินเชื่อเช่าซื้อไว้ประมาณ
50% ของรายได้รวมทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 50% แบ่งเป็น สินเชื่อรายย่อย 25% และสินเชื่อรายใหญ่
อีก 25% จากปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่ประมาณ 70% และสินเชื่อรายย่อยประมาณ
30%
นอกจากนี้ ธนาคารเร่งเปิดสาขาให้ได้ประมาณ 100 สาขา ในปลายปี 2548 ซึ่งต้องการ
จำนวนพนักงานประมาณ 500 คน โดยที่งบลงทุน ต่อสาขาสำหรับสาขาย่อยอยู่ที่ 5 ล้านบาท
และสาขาที่ให้บริการครบวงจรประมาณ 40 ล้านบาท และธนาคารตั้งเป้าที่จะขยายสาขาให้เป็น
180 สาขาภายในอีก 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับฐานลูกค้าที่จะเพิ่มจาก
270,000 ราย หรือยอดเงินฝากจำนวน 134,000 ล้านบาท เป็น 500,000 ราย หรือยอดเงินฝากจำนวน
250,000 ล้านบาท ในปี 2549
นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บง.ธนชาติ กล่าวว่า ผลประกอบการ กลุ่มธนชาติ
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 มีสินทรัพย์ รวม 171,697 ล้านบาท เงินฝาก 137,184 ล้านบาท
สินเชื่อ 113,829 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 590 ล้านบาท และตั้งเป้าอีก 3 ปีข้างหน้าหลังจากโอนธุรกิจสถาบันการเงินให้กับธนาคารทั้งหมดแล้วจะทำให้ธนาคารมีสินทรัพย์รวมกว่า
3 แสนล้านบาท และมีเงินฝากประมาณ 2.5 แสนล้านบาท