หุ้นใหม่ เตรียมยื่นขอก.ล.ต.ขายหุ้นให้กับประชาชนกลางปีนี้ อินเตอร์ลิ้งค์ เตรียมขายมิถุนายน
แย้มรายได้ไตรมาสแรกปีนี้พุ่งสูงกว่ารายได้ทั้งปี 46 กว่า 100% เหตุทยอยรับรู้รายได้วางระบบข่ายสัญญาณในสนามบินสุวรรณภูมิ และ Smart Card บล.นครหลวงไทยส่งกรุ๊ปลิส เข้าตลาดหลักทรัพย์ขาย 10 ล้านหุ้นกลางปีนี้
ขณะที่ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ตั้งบล.ซีมิโก้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว
นายเจษฎาวัฒน์ เพรียบจริยวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์
เคจีไอ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบริษัทอินเตอร์ ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น
จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า คาดว่า บริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ จะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน
ทั่วไปจำนวน 20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์)หุ้นละ 1 บาทโดยจะกระจายหุ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้
และหุ้นจะเข้ามาซื้อขายในตลาด หลักทรัพย์ใหม่(MAI) ภายในปลายเดือนเดียวกันซึ่งจะใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า
ICT
นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการ ผู้จัดการ บริษัทอินเตอร์ลิ้งค์
คอมมิวนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) เปิดเผย ว่า ผลประกอบการภายในไตรมาส แรกของปี 2547
มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาก โดยมีรายได้มากกว่าปี 2546 ทั้งปีที่อยู่ในระดับ 288.36
ล้านบาทถึง 100% สาเหตุเนื่องจากบริษัททยอยรับรู้รายได้จากโครง การติดตั้งระบบข่ายสายสัญญาณข้อมูลและโทรศัพท์สำหรับระบบเทคโนโลยีและการสื่อสารของสยามบินสุวรรณภูมิซึ่งเป็นเฟสแรก
มีมูลค่า 136 ล้านบาท ซึ่งยังมีเฟสที่ 2 และ 3 อีกซึ่งมีมูลค่าโครงการ ประมาณ 300-400
ล้านบาท
โดยบริษัทก็หวังว่าจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้วางระบบและยังทยอยรับรู้รายได้จากงานสัมปทานการจัดทำบัตรเพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากรในรูปแบบ
Smart Card มูลค่าโครงการ 45 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภายในปี 2546 ที่ผ่านมานั้นบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ข่ายสายสัญญาณคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในปีนี้จะมีรายได้เพิ่มจากธุรกิจวิศวกรรมโดยบริษัทรับเหมาติดตั้งระบบข่ายสายสัญญาณคอมพิวเตอร์และสื่อสารโทรคมนาคมให้แก่โครงการขนาดใหญ่ให้แก่ทั้งภาครัฐและเอกชนและยังมีรายได้จากธุรกิจรับออก
แบบรวบรวมระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร แบบครบวงจร
โดยเน้นการรับเหมาประมูลงานของภาครัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เป็นหลัก ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจจัดจำหน่าย
70% ธุรกิจวิศวกรรม 15% และที่เหลือ อีก 15% จะมาจากธุรกิจรับออก แบบรวบรวมระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
แบบครบวงจร
นายสมบัติกล่าวว่า คาดว่าอุตสาหกรรมประเภทวางระบบและอุปกรณ์สายเคเบิลนั้นจะเพิ่มขึ้นประมาณ
17% โดยในส่วนของบริษัทคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 30% ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม
โดยในปี 2546 นี้มีมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารอยู่ที่ระดับ
79,720 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะเพิ่มอยู่ที่ระดับประมาณ 90,000-100,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการในอนาคตของ บริษัทนั้นมีแผนที่จะออกผลิต- ภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อสายอัจฉริยะของ
LINK ที่จะเข้าทดแทนตลาดสายโทรศัพท์ ซึ่งหวังว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10%
และขยายธุรกิจส่งออกสินค้าไปยังประเทศแถบอินโดจีน,จัดตั้งสาขาใน 4 ภาคของประเทศไทย
เพื่อกระจายสินค้าและบริการของบริษัทสู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศพร้อมโครงการอินเตอร์ลิ้งค์สัญจรเพื่อรณรงค์การขายไปพร้อมๆ
กัน
ในส่วนของงานด้านธุรกิจวิศวกรรมจะมีงานระบบข่ายสายสัญญาณในโครงการจากทั้งภาครัฐและเอกชน
ประมาณ 15 โครงการ และงานอื่นๆ ที่เกี่ยว ข้องกับระบบข่ายสายสัญญาณในสนามบินสุวรรณภูมิและธุรกิจด้านสารสนเทศคาดว่าจะเข้าร่วมประมูลโครงการของภาครัฐและของรัฐวิสาหกิจเป็นจำนวน
4 โครงการ รวมเป็นมูลค่าโครงการทั้งสิ้นประมาณ 1,060 ล้านบาท
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด แจ้งว่า บริษัทได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท
กรุ๊ปลิส จำกัด ให้เป็นที่ปรึกษา ทางการเงินและผู้รับจัดจำหน่ายในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ซึ่งจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) และคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นและเข้ามาซื้อขายได้ภายในกลางปี 2547 นี้
ทั้งนี้บริษัทกรุ๊ปลิสเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และให้บริการสินเชื่อเงินสด
และบริการสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
โดยเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2529 ณ สิ้นปี 2546 มีทุนจดทะเบียน 225 ล้านบาทมีทุนที่เรียกชำระแล้ว
175 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้(พาร์)หุ้นละ 5 บาท
โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปจำนวน 10 ล้านหุ้น โดยเงินที่ได้รับ
จากการระดมทุนจะนำไปขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ส่วนผลการดำเนินงานในปี
2546 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 260.65 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 47.44 ล้านบาท
ขณะที่สำนักงาน ก.ล.ต.ได้แจ้งว่าได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งหุ้นบริษัทไลท์ติ้ง แอนด์อิควิปเมนท์
ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้
เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 6.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
5 บาท คิดเป็น 23.64% ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไปจำนวน
6.175 ล้านหุ้น และเสนอขายแก่พนักงาน ของบริษัทจำนวน 325,000 หุ้น ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนจะใช้สำหรับการขยายเครือข่ายทางการตลาด
การขยายโรงงานเพื่อผลิตสินค้าใหม่ๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้บริษัทไลท์ติ้ง
แอนด์ อีควิปเมนท์ประกอบธุรกิจหลักในอุตสาหกรรมไฟฟ้าแสงสว่าง โดยดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจร
การนำเข้า
ตลอดจนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่างให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งการให้บริการออกแบบและแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่างต่างๆ
บริษัทได้วางเป้าหมายเป็นศูนย์รวมของผลิตภัณฑ์และบริการด้านไฟฟ้าแสงสว่างอย่างครบวงจร
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 2545 และ 2546 ที่ผ่านมานั้น บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีรายได้ 610.34 ล้านบาทและ 791.94 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิมีจำนวน 14.71
ล้านบาท และ 23.76 ล้านบาทตามลำดับ
โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทใน 3 อันดับแรกได้แก่กลุ่มทรัพย์ทวยชน ถือหุ้น 40.57%
ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปลดลงเหลือ 30.98% กลุ่มบริมาสพร ถือหุ้น
28.76% ภายหลังลดลง 21.96% และกลุ่มสุริยสัตย์ ถือหุ้น 9.53% ภายหลังลดลง 7.28%
บริษัทมีนโยบายจ่ายเงิน ปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล