MAI เตรียมทบ ทวนเกณฑ์รับหุ้นใหม่ หวังพัฒนา คุณภาพ บจ.คาดปีนี้ทั้งตลาดใหญ่
ตลาด MAI รับหุ้นใหม่มากกว่า 70 บริษัท ด้านผู้บริหาร PICO โล่งอก ราคาเปิดวันแรก
6.65 บาท สูงกว่า ราคาจอง 6.40 % และปิดตลาดที่ระดับ 6.25 บาทเท่าราคาจอง
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานศูนย์ระดมทุนและตลาด หลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมพิจารณาทบทวนเกณฑ์เกี่ยวกับการรับบริษัทจดทะเบียน
(บจ.) ที่จะเข้ามา ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ภายในปีหน้าคณะกรรมการอาจมีการหยิบยกและทบทวนหลักเกณฑ์
เกี่ยวกับการรับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดังกล่าวมาพิจารณาและหาข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง
เพื่อพัฒนาคุณภาพของบริษัทขนาดกลางที่จะเข้ามาระดมทุนให้ดีขึ้น และเป็นการพัฒนาตลาด
หลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ด้วย
"ที่ผ่านมาหลักเกณฑ์การรับบจ.เข้าจดทะเบียน จะพิจารณาจากทุนจดทะเบียนเพียงอย่างเดียว
ส่วนเกณฑ์ใหม่นั้นคาดว่าอาจจะต้องมีการพิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประวัติการชำระภาษี
และความสามารถทำกำไร ตลอดจนทุนจดทะเบียนของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาด้วย" นางสาวโสภาวดี
กล่าว
สำหรับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อพ.ค. 44 อนุมัติให้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บจ.ในตลาดหลักทรัพย์
(SET) ทั้งเก่าและใหม่เหลือร้อยละ 25 จากร้อยละ 30 ส่วนบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ใหม่
ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดกลางและย่อม ลดเหลือร้อยละ 20 ซึ่งสิทธิดังกล่าวจะหมดอายุในต้นก.ย.ปีนี้
ทั้งนี้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่จะต้องมีทุนจดทะเบียนระหว่าง 40-200
ล้านบาท ขณะที่เมื่อบริษัทเหล่านี้ฐานทุนจดทะเบียนมากขึ้น ก็จะย้ายไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ซึ่งในปีที่แล้ว มีย้ายไปซื้อขายในตลท.3 บริษัท ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ใหม่มีมูลค่ามาร์เกตแคปลดลงจาก
1.5 หมื่นล้านบาท เป็น 8-9 พันล้านบาท
นางสาวโสภาวดีกล่าวต่อว่าตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งเป้าว่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในทั้งสองตลาด
ประมาณ 70 บริษัท โดยตั้งเป้าการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 40 บริษัทแต่เชื่อว่าจะมีมากกว่าเป้าเพราะขณะนี้มีการยื่นไฟลิ่งไปแล้วประมาณ
20 บริษัท
ส่วนตลาดหลักทรัพย์ใหม่ใน ปีนี้จะมีบจ.ที่ยื่น แบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อเสนอขายหุ้นกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ 40 บริษัท แต่น่าจะกระจายหุ้นในปีนี้ได้ราว
20 บริษัท ขณะที่คาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของตลาดหลักทรัพย์ใหม่ในปีนี้
จะเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีบริษัทเข้าจดทะเบียนในทั้งสองตลาดจำนวน 7 บริษัท
คาดว่าในไตรมาส 2 จะไม่ต่ำกว่า 10 บริษัทในทั้งสองตลาด ทั้งนี้บริษัทส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาด
หลักทรัพย์ใหม่มักเป็นบริษัทที่ใช้เงินลงทุนไม่มากและดำเนินธุรกิจที่ใช้บุคลากรและเทคโนโลยีสูง
เช่นธุรกิจสื่อโฆษณา ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และธุรกิจ ไอทีเป็นต้น
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ก็มักจะมี ค่าพีอี
เรโช สูงกว่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากฐาน ในการคำนวณไม่ใหญ่
เช่น หากพีอีเรโชในตลาดหลักทรัพย์ใหม่เป็น 20 เท่า พีอีเรโช ในตลาดหลักทรัพย์จะเป็นเพียง
10 เท่า เท่านั้น
"ต้องยอมรับว่าสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ของตลาดหลักทรัพย์
MAI จะสูงกว่าตลาด หลักทรัพย์ แต่อัตราการเติบโตของบริษัทในตลาดใหม่ก็ยังสูงอยู่และอัตราการหมุนเวียนของการซื้อขายของตลาด
MAI ก็มีมาก โดยมีนักลงทุนที่เป็นบุคคลเข้าซื้อขายถึง 90% ส่วนนักลงทุนสถาบันมีเพียง
เล็กน้อยและลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานบริษัทดีมากๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าตลาด MAI มีการหมุนเวียนของเม็ดเงินสูง
แต่มีสินค้าให้ซื้อขายน้อยจึงควรพัฒนามากกว่านี้" นางสาวโสภาวดีกล่าว
ส่วนวานนี้ (20 เม.ย.) หุ้นปิโก (ไทยแลนด์) หรือชื่อย่อ PICO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก
ราคาเปิดตลาดที่ 6.65 บาท สูงกว่าราคาจองที่ 6.25 บาท โดยราคาสูงสุดที่ 6.90 บาท
ต่ำสุดที่ 6 บาท และปิดได้เท่ากับราคาจองที่ 6.25 บาท ผู้บริหารและ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินต่างก็แสดงความพอใจหลังจากที่เห็นหุ้นเปิดเทรดสูงกว่าราคาจอง
6.40%
นายพิเสฐ จึงแย้มปิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
หรือ PICO เปิดเผยว่าพอใจกับราคาเปิดของหุ้นที่สามารถยืนเหนือราคาจองได้ และเชื่อมั่นว่าหุ้น
PICO จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทมีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องทั้งนี้บริษัทปิโก
(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ถือเป็นบริษัท แรกของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการ
ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่
โดยบริษัทมีนโยบายเพิ่มอัตราการเติบโตทางธุรกิจปีละ 20%ทั้งนี้ก็ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจด้วย
โดยในปี 2547 นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท จากปี 2546
ที่มีรายได้ 450 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 20% และผลประกอบการไตรมาส 1/47 บริษัทมีรายได้
125 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากงวดเดียวกันในปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 80 ล้านบาท
นอกจากนี้กำไรในไตรมาส 1/47 ของบริษัทยังมีการปรับตัวสูงขึ้นจาก 8.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
425.78% จากไตรมาส 1/2546 ที่มีกำไร 1.59 บาท
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จำนวน 162.50 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์
และขยายสำนักงาน 2 แห่งที่จังหวัดภูเก็ตและเชียงใหม่ ส่วนหนึ่งจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
เพื่อให้สามารถประมูลงานได้มากขึ้น
รถยนต์ เชฟโรเลต โดยสัญญาจะสิ้นสุดในปี 2005 โดยมีมูลค่า 70 ล้านบาท การทำพิพิธภัณฑ์ให้กับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มูลค่า 4 ล้านบาท และพิพิธภัณฑ์ที่แม่เมาะ มูลค่า 19 ล้านบาท โดยจะทยอย รับรู้รายได้ในไตรมาส
2/47 นอกจากนี้บริษัทจะมีการรับจัดงานด้านการตลาดของโทรศัพท์มือถือด้วย ส่วนรายได้จากการจัดงานมอเตอร์โชว์นั้นจะรับรู้ราย
ได้ในไตรมาส 2/47 จำนวน 90 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล
และจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท
ในวันที่ 4 พ.ค. 2547 ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท โดยจะจ่ายในวันที่ 14 พ.ค. 47