Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 เมษายน 2547
MAIทบทวนเกณฑ์รับหุ้นปิโกเท่าจอง             
 


   
www resources

โฮมเพจ ปิโก (ไทยแลนด์)
โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ - MAI
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ปิโก (ไทยแลนด์), บมจ. - PICO
โสภาวดี เลิศมนัสชัย
พิเสฐ จึงแย้มปิ่น
Stock Exchange




MAI เตรียมทบ ทวนเกณฑ์รับหุ้นใหม่ หวังพัฒนา คุณภาพ บจ.คาดปีนี้ทั้งตลาดใหญ่ ตลาด MAI รับหุ้นใหม่มากกว่า 70 บริษัท ด้านผู้บริหาร PICO โล่งอก ราคาเปิดวันแรก 6.65 บาท สูงกว่า ราคาจอง 6.40 % และปิดตลาดที่ระดับ 6.25 บาทเท่าราคาจอง

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานศูนย์ระดมทุนและตลาด หลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมพิจารณาทบทวนเกณฑ์เกี่ยวกับการรับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จะเข้ามา ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ภายในปีหน้าคณะกรรมการอาจมีการหยิบยกและทบทวนหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการรับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดังกล่าวมาพิจารณาและหาข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง เพื่อพัฒนาคุณภาพของบริษัทขนาดกลางที่จะเข้ามาระดมทุนให้ดีขึ้น และเป็นการพัฒนาตลาด หลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ด้วย

"ที่ผ่านมาหลักเกณฑ์การรับบจ.เข้าจดทะเบียน จะพิจารณาจากทุนจดทะเบียนเพียงอย่างเดียว ส่วนเกณฑ์ใหม่นั้นคาดว่าอาจจะต้องมีการพิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประวัติการชำระภาษี และความสามารถทำกำไร ตลอดจนทุนจดทะเบียนของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาด้วย" นางสาวโสภาวดี กล่าว

สำหรับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อพ.ค. 44 อนุมัติให้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ทั้งเก่าและใหม่เหลือร้อยละ 25 จากร้อยละ 30 ส่วนบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดกลางและย่อม ลดเหลือร้อยละ 20 ซึ่งสิทธิดังกล่าวจะหมดอายุในต้นก.ย.ปีนี้

ทั้งนี้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่จะต้องมีทุนจดทะเบียนระหว่าง 40-200 ล้านบาท ขณะที่เมื่อบริษัทเหล่านี้ฐานทุนจดทะเบียนมากขึ้น ก็จะย้ายไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งในปีที่แล้ว มีย้ายไปซื้อขายในตลท.3 บริษัท ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ใหม่มีมูลค่ามาร์เกตแคปลดลงจาก 1.5 หมื่นล้านบาท เป็น 8-9 พันล้านบาท

นางสาวโสภาวดีกล่าวต่อว่าตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งเป้าว่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในทั้งสองตลาด ประมาณ 70 บริษัท โดยตั้งเป้าการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 40 บริษัทแต่เชื่อว่าจะมีมากกว่าเป้าเพราะขณะนี้มีการยื่นไฟลิ่งไปแล้วประมาณ 20 บริษัท

ส่วนตลาดหลักทรัพย์ใหม่ใน ปีนี้จะมีบจ.ที่ยื่น แบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อเสนอขายหุ้นกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ 40 บริษัท แต่น่าจะกระจายหุ้นในปีนี้ได้ราว 20 บริษัท ขณะที่คาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของตลาดหลักทรัพย์ใหม่ในปีนี้ จะเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีบริษัทเข้าจดทะเบียนในทั้งสองตลาดจำนวน 7 บริษัท คาดว่าในไตรมาส 2 จะไม่ต่ำกว่า 10 บริษัทในทั้งสองตลาด ทั้งนี้บริษัทส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ใหม่มักเป็นบริษัทที่ใช้เงินลงทุนไม่มากและดำเนินธุรกิจที่ใช้บุคลากรและเทคโนโลยีสูง เช่นธุรกิจสื่อโฆษณา ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และธุรกิจ ไอทีเป็นต้น

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ก็มักจะมี ค่าพีอี เรโช สูงกว่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากฐาน ในการคำนวณไม่ใหญ่ เช่น หากพีอีเรโชในตลาดหลักทรัพย์ใหม่เป็น 20 เท่า พีอีเรโช ในตลาดหลักทรัพย์จะเป็นเพียง 10 เท่า เท่านั้น

"ต้องยอมรับว่าสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ของตลาดหลักทรัพย์ MAI จะสูงกว่าตลาด หลักทรัพย์ แต่อัตราการเติบโตของบริษัทในตลาดใหม่ก็ยังสูงอยู่และอัตราการหมุนเวียนของการซื้อขายของตลาด MAI ก็มีมาก โดยมีนักลงทุนที่เป็นบุคคลเข้าซื้อขายถึง 90% ส่วนนักลงทุนสถาบันมีเพียง เล็กน้อยและลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานบริษัทดีมากๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าตลาด MAI มีการหมุนเวียนของเม็ดเงินสูง แต่มีสินค้าให้ซื้อขายน้อยจึงควรพัฒนามากกว่านี้" นางสาวโสภาวดีกล่าว

ส่วนวานนี้ (20 เม.ย.) หุ้นปิโก (ไทยแลนด์) หรือชื่อย่อ PICO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก ราคาเปิดตลาดที่ 6.65 บาท สูงกว่าราคาจองที่ 6.25 บาท โดยราคาสูงสุดที่ 6.90 บาท ต่ำสุดที่ 6 บาท และปิดได้เท่ากับราคาจองที่ 6.25 บาท ผู้บริหารและ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินต่างก็แสดงความพอใจหลังจากที่เห็นหุ้นเปิดเทรดสูงกว่าราคาจอง 6.40%

นายพิเสฐ จึงแย้มปิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ PICO เปิดเผยว่าพอใจกับราคาเปิดของหุ้นที่สามารถยืนเหนือราคาจองได้ และเชื่อมั่นว่าหุ้น PICO จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทมีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องทั้งนี้บริษัทปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ถือเป็นบริษัท แรกของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการ ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่

โดยบริษัทมีนโยบายเพิ่มอัตราการเติบโตทางธุรกิจปีละ 20%ทั้งนี้ก็ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจด้วย โดยในปี 2547 นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท จากปี 2546 ที่มีรายได้ 450 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 20% และผลประกอบการไตรมาส 1/47 บริษัทมีรายได้ 125 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากงวดเดียวกันในปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 80 ล้านบาท นอกจากนี้กำไรในไตรมาส 1/47 ของบริษัทยังมีการปรับตัวสูงขึ้นจาก 8.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 425.78% จากไตรมาส 1/2546 ที่มีกำไร 1.59 บาท

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จำนวน 162.50 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ และขยายสำนักงาน 2 แห่งที่จังหวัดภูเก็ตและเชียงใหม่ ส่วนหนึ่งจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท เพื่อให้สามารถประมูลงานได้มากขึ้น

รถยนต์ เชฟโรเลต โดยสัญญาจะสิ้นสุดในปี 2005 โดยมีมูลค่า 70 ล้านบาท การทำพิพิธภัณฑ์ให้กับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ มูลค่า 4 ล้านบาท และพิพิธภัณฑ์ที่แม่เมาะ มูลค่า 19 ล้านบาท โดยจะทยอย รับรู้รายได้ในไตรมาส 2/47 นอกจากนี้บริษัทจะมีการรับจัดงานด้านการตลาดของโทรศัพท์มือถือด้วย ส่วนรายได้จากการจัดงานมอเตอร์โชว์นั้นจะรับรู้ราย ได้ในไตรมาส 2/47 จำนวน 90 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ในวันที่ 4 พ.ค. 2547 ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท โดยจะจ่ายในวันที่ 14 พ.ค. 47

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us