เคซี พร็อพเพอร์ตี้ เผยเทกโอเวอร์บริษัท โมเดอร์นโฮม ดีเวลลอป เม้นท์ จำกัด (มหาชน)
หรือ M-Home เพราะมีที่ดินผืนงามบริเวณตลาดไทพร้อมให้เข้าพัฒนา และตัวเลขขาดทุนสะสมกว่า
1,000 ล้านบาท สามารถดึงมาใช้เพื่อพัฒนา ธุรกิจ เตรียมความพร้อมออกจากกลุ่มรีแฮปโกและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณกันยายนนี้
นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยกุล ประธาน บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของบริษัทในการเข้า ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในบริษัท โมเดอร์นโฮม
ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 25.60 ล้านหุ้น มูลค่า 350 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น
75% อีก 25% เป็นส่วนของเจ้าหนี้และเจ้าของเดิม และได้เพิ่มทุนจดทะเบียน จาก 84.97
ล้านบาท เป็น 350 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พร้อมกับมีแผนที่จะเพิ่มทุนอีก
525 ล้านบาท รวมเป็นทุนทั้งสิ้น 875 ล้านบาท ส่งผลให้ภายหลังการเพิ่มทุน บริษัทจะมีสัดส่วนการถือหุ้น
ถึง 80%
สำหรับสาเหตุของการเข้าเทกโอเวอร์บริษัท M-Home ครั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าน่าจะเข้าไปใช้ประโยชน์กับตัวเลขขาดทุนสะสม
ประมาณ 1,000 ล้านบาท ที่สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้อีกต่อเนื่องเป็นเวลาถึง
5 ปีนับจากนี้ นอกจากนี้ยังมีแลนด์แบงก์ของโมเดอร์นโฮมฯ อีกจำนวนหนึ่งที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการได้
"เรามองเห็นโอกาสการเข้าไปเทกโอเวอร์ บริษัทโมเดอร์นโฮม ภายใต้เงื่อนไข
และแนวทางการบริหารแผนที่ดี ที่สำคัญคือการมี แลนด์แบงก์ที่มีศักยภาพจำนวนหนึ่งที่สามารถ
เข้าไปพัฒนาได้ทันที นอกจากนี้ผลที่ได้ตามมานอกจากทางธุรกิจแล้ว ยังส่งผลดีต่อภาพลักษณ์องค์กรและเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนนำบริษัท
ออกจากกลุ่มรีแฮบโกด้วย"
การดำเนินการดังกล่าว เป็นการเตรียมความพร้อมองค์กร และการพัฒนาจุดแข็งในความเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มบ้านระดับกลาง
รวมถึงสร้างผลกำไรจากการดำเนินงานต่อเนื่องให้ได้ 3 ไตรมาสเพื่อนำบริษัทออกจากกลุ่มรีแฮบโก
และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณเดือนกันยายนปีนี้
สำหรับความสามารถในการพัฒนาโครงการและทำกำไรของกลุ่ม ในปี 2546 สามารถผลิตทาวน์เฮาส์
300 หน่วย และบ้านเดี่ยวอีก 400 หน่วย ส่วนปี 47 เตรียมเพิ่มการผลิตเป็นกลุ่มทาวน์เฮาส์
400 หน่วย และบ้านเดี่ยวอีก 500 หน่วยโดยที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานต่อเนื่อง
ธันวาคม 2546 มีกำไร 16.51 ล้านบาท สำหรับไตรมาสแรกคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตถึงไตรมาส
2 เพื่อให้เข้าเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ในการนำบริษัทออกจากกลุ่มรีแฮบโก
"ในส่วนของไตรมาส 2 บริษัทเตรียมซื้อสิน ทรัพย์เพิ่ม เพื่อพัฒนาโครงการใหม่
ทั้งนี้จะพยายาม ให้มีสัดส่วนของหนี้สินต่อทุน อยู่ที่ 1 ต่อ 1 เท่านั้น พร้อมกับรักษาสภาพคล่องการทำงาน
บริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด ปรับเพิ่มสัดส่วนการขายให้ได้มากที่สุด
และรักษาอัตราการเติบโตทางธุรกิจ โดยตั้งแต่ปี 2545 ถึง 2546 สามารถสร้างอัตราการเติบโตถึง
20% ซึ่งเป็นการเริ่มต้นใหม่จากศูนย์นับจากวิกฤตเศรษฐกิจเป็นต้นมา"