Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน15 เมษายน 2547
"อีลิท การ์ด"ยิ่งปรับยิ่งหลงทาง ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ             
 


   
search resources

ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด (ทีพีซี), บจก.
สมใจนึก เองตระกูล




อีลิท ดิ้นปรับกลยุทธ์ทุกทาง อ้างเหตุผลพลาดเป้าตัวเลขสมาชิก จากบริการไม่พร้อม ถูกรุมสวด เดินเกมผิดวัตถุประสงค์ ต้องทำตัวเป็นผู้ให้บริการ ไม่ใช่ผู้ลงทุน ผลาญงบประมาณเป็นว่าเล่น เผยเตรียมตั้งบริษัทลูกมาดูแลปัญหาสมาชิกต่างชาติถือครองที่ดิน

หลังจากนายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง เข้ามานั่งตำแหน่ง ประธาน บริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) เมื่อเดือน พ.ย.2546 และปรับเปลี่ยนวิธีการทำตลาด การหาลูกค้าบัตรสมาชิกพิเศษประเทศไทย "อีลิท การ์ด" ใหม่ เพราะเห็นว่าวิธีการขายในช่วงแรก แบบที่เรียกกันว่าเร่ขาย โดยทีมบริหารบัตรอีลิทในช่วงแรกไม่สมศักดิ์ศรีระดับบัตรสมาชิกประเทศไทย ด้วยการแต่งตั้งตัวแทนขายระดับประเทศ ที่เรียกว่า Country Representative โดยจะแต่งตั้งประเทศละ 1 ราย ขณะนี้ได้ทยอยเซ็นสัญญากับตัวแทนที่มีความพร้อมแล้วบางประเทศ ซึ่งทุกประเทศการันตีจำนวนสมาชิกที่จะต้องทำตัวเลขให้ทีพีซี

นอกจากการปรับกลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่แล้ว ประธาน ทีพีซีได้เตรียมงบลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท เพื่อเข้าไปสร้างสนามกอล์ฟบนที่ดินของราชการ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กรมธนารักษ์ อีก 5 แห่ง รวมทั้งซิตี้ คลับ บนชั้น 60-62 สเตท ทาวเวอร์ ย่านสีลม เพื่อเตรียมไว้ให้บริการสมาชิกอีลิท ให้ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป งบประมาณที่ทีพีซีจะนำมาใช้ลงทุนอ้างว่าจะมาจากการขอกู้จากธนาคาร โดยจะไม่ของบประมาณจากภาครัฐอีก แต่จะใช้วิธีนำเงินที่ได้จากการขายบัตรมาลงทุน และขอกู้จากธนาคาร ซึ่งก็น่าจะเป็นธนาคารของรัฐ และรัฐก็จะต้องเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้

ปัจจุบันทีพีซีเป็นบริษัทที่ไม่มีทรัพย์สิน เงินงบประมาณก้อนแรกจำนวน 500 ล้านบาท ที่ได้จากภาครัฐ นำไปใช้ทำประชาสัมพันธ์ โฆษณาในต่างประเทศหมดแล้ว แม้ประธาน ทีพีซี จะพยายามบอกว่าได้ใช้งบประมาณทำตลาดไปเพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น และขณะนี้ทีพีซียังเหลือเงินอีก 400 ล้านบาท แต่ที่จริงแล้วน่าจะเป็นเงินที่เหลืออยู่จากการจำหน่ายบัตรที่ตั้งแต่เปิดตัวถึงขณะนี้ขายได้ 400 ใบ ราคาใบละ 1 ล้านบาทมากกว่า

นายสมใจนึก กล่าวย้ำว่าการทำตลาดที่ผ่านมาของ ทีพีซี ที่ยังไม่เห็นตัวเลขยอดขายบัตรอีลิท เป็นเพราะสินค้าและบริการที่จะให้สมาชิกยังไม่พร้อม โดยเฉพาะการใช้บริการสนามกอล์ฟ ที่สนามกอล์ฟชื่อดังหลายแห่งยังมีปัญหาที่จะรับลูกค้าบัตรอีลิท แต่ขณะนี้ได้เคลียร์ปัญหาต่างๆ เรียบร้อยแล้ว และอีกปัญหา คือการแก้กฎหมายถือครองที่ดินของคนต่างด้าว เพื่อให้สมาชิกอีลิทสามารถถือครองที่ดินในประเทศไทยได้ เพราะเป็นความต้องการของสมาชิก หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาการถือครองที่ดินของสมาชิกอีลิทได้ ก็จะเป็นอีกปัจจัยปัญหาที่จะทำให้ยอดขายสมาชิกอีลิทไม่ได้เป้าหมาย จึงเป็นที่มาของการเสนอจัดตั้งบริษัทลูก ทีพีซี เพื่อบริหารจัดการการถือครองที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์แทนสมาชิกบัตรอีลิท ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ที่น่าจะดำเนินการได้เร็วกว่าการขอแก้กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้

ทั้งนี้ ทีพีซี อ้างว่าหากสมาชิกอีลิท สามารถถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้ โดยเฉพาะการสร้างบ้าน 1 หลัง มูลค่า 20 ล้านบาท จะก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง แรงงาน และผู้ขายอุปกรณ์ก่อสร้างประมาณ 15 ล้านบาท หากมีสมาชิกผู้ถือบัตร 5 แสนคน ตามเป้าหมาย จะทำให้มีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไม่ต่ำกว่า 12,500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามหลังจากพลาดตัวเลขเป้าหมาย 1 แสนใบในปี 2546 ที่ทีพีซีตั้งเป้าหมายไว้ และได้นำมาตั้งเป็นเป้าหมายในปี 2547 ประธานทีพีซี ก็ยังย้ำว่าตัวเลขไม่ใช่เป้าหมายหลักของอีลิทในปีนี้ เพราะแม้จะตั้งตัวแทนจำหน่ายรายประเทศแล้วถึงสิ้นปีการขายบัตรก็ยังอยู่ในระดับใกล้เคียง 1 แสนใบเท่านั้น

แหล่งข่าวจากธุรกิจโรงแรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการกับทีพีซี โดยให้ส่วนลดกับสมาชิกบัตรอีลิทนั้น ไม่ได้รับผลประโยชน์ชัดเจนจากผู้ถือบัตรอีลิท จากจำนวนสมาชิกที่มีเพียง 400 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ประทับใจกับบริการที่ ทีพีซี จัดเตรียมไว้ให้ ทั้ง สนามกอล์ฟ สปา โรงแรม ที่ไม่สามารถให้บริการได้เหมือนที่โฆษณาไว้ โดยเฉพาะสนามกอล์ฟ และสปา บางแห่งไม่รับสมาชิกบัตรอีลิท เนื่องจากยังมีปัญหาการเรียกเก็บเงินจากทีพีซี หลังจากให้บริการสมาชิกอีลิทไปแล้ว ในส่วนของโรงแรมเองยังได้รับเงินบางส่วน หลังจากหักส่วนลดที่เสนอให้ผู้ถือบัตรอีลิทแล้ว ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโรงแรมส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการมากนัก เพราะสมาชิกอีลิทที่มีอยู่ขณะนี้ไม่จูงใจให้เข้าร่วมโครงการ

"โดยความจริงแล้วโครงการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท ที่ใช้ไปในโครงการบัตรอีลิท น่าจะเห็นจำนวนสมาชิกผู้ถือบัตรมากกว่า 400 ราย เพราะหากภาครัฐต้องการให้เอกชนเข้าร่วมโครงการเพื่อให้ผลประโยชน์กับผู้ถือบัตร ก็ควรแสดงให้ผู้ประกอบการเห็นประโยชน์ที่จะได้รับกลับไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะจำนวนสมาชิกที่ไม่ควรเป็นตัวเลข 400 รายเช่นนี้" แหล่งข่าวกล่าว

นอกจากนี้แผนการสร้างทรัพย์สินให้ทีพีซี ด้วยการลงทุนเพื่อเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟ โรงแรม คลับเฮาส์เอง คาดว่าต้องใช้งบลงทุนอีกนับพันล้านบาท สำหรับการลงทุนโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวหนึ่งแห่งจะต้องใช้งบลงทุนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ตามเงินทุนจดทะเบียนที่รัฐลงทุนให้ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะคุ้มกับการให้บริการสมาชิกผู้ถือบัตรจำนวนน้อยนิด อีกทั้งน่าจะผิดวัตถุประสงค์ของการตั้ง ทีพีซี ที่น่าจะเป็นบริษัทที่ดูแลการให้บริการสมาชิก มากกว่าจะมาสวมบทบาทผู้ลงทุนเป็นเจ้าของทรัพย์สินต่างๆ เอง จากเงินภาษีของประชาชน การเดินกลยุทธ์ของอีลิทที่ผ่านมาจึงเปรียบเสมือนการยิ่งปรับยิ่งหลงทาง

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่าแผนการประชาสัมพันธ์ของทีพีซีในปีนี้ก็น่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เมื่อรวมกับที่ใช้ไปแล้ว 500 ล้านบาท ถือเป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับแล้วไม่น่าจะคุ้มค่าการลงทุนของภาครัฐ เพราะหลังจากทีพีซี ลงทุนสร้างสนามกอล์ฟ โรงแรม คลับเฮาส์ แล้ว จะต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการจ้าง

บุคลากรมาบริหารสูงมาก หากวางตัวว่าอยู่ในระดับหรู การบริการก็จะต้องเหนือระดับด้วย เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการเอกชนที่อยู่ในตลาดนี้มาก่อนได้

**สปาเรียกเก็บเงินลำบาก

นายไมเคิล ที.เอช. ไลย์ อุปนายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีสปาเข้าร่วมโครงการบัตรอีลิทจำนวน 70 ราย ขณะนี้มีผู้ถือบัตรเข้ามาใช้บริการไม่มากนัก เพราะยังมีสมาชิกน้อยราย แต่สปาที่เข้าร่วมโครงการและมีสมาชิกอีลิทมาใช้บริการพบปัญหาว่าเรียกเก็บเงินที่จะได้รับจาก ทีพีซี มูลค่า 1,500 บาทล่าช้ามาก โดยต้องเรียกเก็บข้ามเดือน ทั้งที่ควรใช้เวลาเรียกเก็บเงินไม่เกิน 15 วัน เพราะทีพีซี ได้รับเงินจากสมาชิกมาแล้วรายละ 1 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังพบว่าทีพีซี ที่วางแผนจะนำสปาที่เข้าร่วมโครงการไปโฆษณาในต่างประเทศ ก็ไม่ได้ดำเนินการในส่วนนี้ให้ผู้ประกอบการ การทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์บัตรอีลิทในต่างประเทศ มีเพียงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวบัตรอีลิทเท่านั้น ไม่ได้โฆษณาผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการแต่อย่างใด หากบัตรอีลิทโฆษณาตัวเองมากขณะนี้ ก็น่าจะเห็นตัวเลขจำนวนสมาชิกในระดับ 10,000 ราย ไม่น่าจะอยู่ที่ 400 รายเช่นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเอเย่นต์ตัวแทนขายที่แต่งตั้งขึ้น 12 รายไม่มีความสามารถเพียงพอ

อย่างไรก็ตามการที่ ทีพีซี เลือกสปาเข้าร่วมโครงการกว่า 70 ราย น่าจะเกิดปัญหาในอนาคต เพราะมีจำนวนมากเกินไปจนอาจไม่สามารถควบคุมคุณภาพสปาที่จะให้บริการสมาชิกบัตรอีลิทได้ หากสมาชิกได้รับบริการที่ไม่มีมาตรฐานก็จะสร้างภาพลักษณ์เสียหายต่อธุรกิจสปาในอนาคต

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us