อีลิท ดิ้นปรับกลยุทธ์ทุกทาง อ้างเหตุผลพลาดเป้าตัวเลขสมาชิก จากบริการไม่พร้อม
ถูกรุมสวด เดินเกมผิดวัตถุประสงค์ ต้องทำตัวเป็นผู้ให้บริการ ไม่ใช่ผู้ลงทุน ผลาญงบประมาณเป็นว่าเล่น
เผยเตรียมตั้งบริษัทลูกมาดูแลปัญหาสมาชิกต่างชาติถือครองที่ดิน
หลังจากนายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง เข้ามานั่งตำแหน่ง ประธาน บริษัทไทยแลนด์
พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) เมื่อเดือน พ.ย.2546 และปรับเปลี่ยนวิธีการทำตลาด
การหาลูกค้าบัตรสมาชิกพิเศษประเทศไทย "อีลิท การ์ด" ใหม่ เพราะเห็นว่าวิธีการขายในช่วงแรก
แบบที่เรียกกันว่าเร่ขาย โดยทีมบริหารบัตรอีลิทในช่วงแรกไม่สมศักดิ์ศรีระดับบัตรสมาชิกประเทศไทย
ด้วยการแต่งตั้งตัวแทนขายระดับประเทศ ที่เรียกว่า Country Representative โดยจะแต่งตั้งประเทศละ
1 ราย ขณะนี้ได้ทยอยเซ็นสัญญากับตัวแทนที่มีความพร้อมแล้วบางประเทศ ซึ่งทุกประเทศการันตีจำนวนสมาชิกที่จะต้องทำตัวเลขให้ทีพีซี
นอกจากการปรับกลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่แล้ว ประธาน ทีพีซีได้เตรียมงบลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า
2,500 ล้านบาท เพื่อเข้าไปสร้างสนามกอล์ฟบนที่ดินของราชการ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ
กองทัพอากาศ กรมธนารักษ์ อีก 5 แห่ง รวมทั้งซิตี้ คลับ บนชั้น 60-62 สเตท ทาวเวอร์
ย่านสีลม เพื่อเตรียมไว้ให้บริการสมาชิกอีลิท ให้ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป
งบประมาณที่ทีพีซีจะนำมาใช้ลงทุนอ้างว่าจะมาจากการขอกู้จากธนาคาร โดยจะไม่ของบประมาณจากภาครัฐอีก
แต่จะใช้วิธีนำเงินที่ได้จากการขายบัตรมาลงทุน และขอกู้จากธนาคาร ซึ่งก็น่าจะเป็นธนาคารของรัฐ
และรัฐก็จะต้องเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้
ปัจจุบันทีพีซีเป็นบริษัทที่ไม่มีทรัพย์สิน เงินงบประมาณก้อนแรกจำนวน 500 ล้านบาท
ที่ได้จากภาครัฐ นำไปใช้ทำประชาสัมพันธ์ โฆษณาในต่างประเทศหมดแล้ว แม้ประธาน ทีพีซี
จะพยายามบอกว่าได้ใช้งบประมาณทำตลาดไปเพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น และขณะนี้ทีพีซียังเหลือเงินอีก
400 ล้านบาท แต่ที่จริงแล้วน่าจะเป็นเงินที่เหลืออยู่จากการจำหน่ายบัตรที่ตั้งแต่เปิดตัวถึงขณะนี้ขายได้
400 ใบ ราคาใบละ 1 ล้านบาทมากกว่า
นายสมใจนึก กล่าวย้ำว่าการทำตลาดที่ผ่านมาของ ทีพีซี ที่ยังไม่เห็นตัวเลขยอดขายบัตรอีลิท
เป็นเพราะสินค้าและบริการที่จะให้สมาชิกยังไม่พร้อม โดยเฉพาะการใช้บริการสนามกอล์ฟ
ที่สนามกอล์ฟชื่อดังหลายแห่งยังมีปัญหาที่จะรับลูกค้าบัตรอีลิท แต่ขณะนี้ได้เคลียร์ปัญหาต่างๆ
เรียบร้อยแล้ว และอีกปัญหา คือการแก้กฎหมายถือครองที่ดินของคนต่างด้าว เพื่อให้สมาชิกอีลิทสามารถถือครองที่ดินในประเทศไทยได้
เพราะเป็นความต้องการของสมาชิก หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาการถือครองที่ดินของสมาชิกอีลิทได้
ก็จะเป็นอีกปัจจัยปัญหาที่จะทำให้ยอดขายสมาชิกอีลิทไม่ได้เป้าหมาย จึงเป็นที่มาของการเสนอจัดตั้งบริษัทลูก
ทีพีซี เพื่อบริหารจัดการการถือครองที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์แทนสมาชิกบัตรอีลิท
ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ที่น่าจะดำเนินการได้เร็วกว่าการขอแก้กฎหมายต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้
ทั้งนี้ ทีพีซี อ้างว่าหากสมาชิกอีลิท สามารถถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้
โดยเฉพาะการสร้างบ้าน 1 หลัง มูลค่า 20 ล้านบาท จะก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง
แรงงาน และผู้ขายอุปกรณ์ก่อสร้างประมาณ 15 ล้านบาท หากมีสมาชิกผู้ถือบัตร 5 แสนคน
ตามเป้าหมาย จะทำให้มีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไม่ต่ำกว่า 12,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหลังจากพลาดตัวเลขเป้าหมาย 1 แสนใบในปี 2546 ที่ทีพีซีตั้งเป้าหมายไว้
และได้นำมาตั้งเป็นเป้าหมายในปี 2547 ประธานทีพีซี ก็ยังย้ำว่าตัวเลขไม่ใช่เป้าหมายหลักของอีลิทในปีนี้
เพราะแม้จะตั้งตัวแทนจำหน่ายรายประเทศแล้วถึงสิ้นปีการขายบัตรก็ยังอยู่ในระดับใกล้เคียง
1 แสนใบเท่านั้น
แหล่งข่าวจากธุรกิจโรงแรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการกับทีพีซี
โดยให้ส่วนลดกับสมาชิกบัตรอีลิทนั้น ไม่ได้รับผลประโยชน์ชัดเจนจากผู้ถือบัตรอีลิท
จากจำนวนสมาชิกที่มีเพียง 400 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ประทับใจกับบริการที่ ทีพีซี
จัดเตรียมไว้ให้ ทั้ง สนามกอล์ฟ สปา โรงแรม ที่ไม่สามารถให้บริการได้เหมือนที่โฆษณาไว้
โดยเฉพาะสนามกอล์ฟ และสปา บางแห่งไม่รับสมาชิกบัตรอีลิท เนื่องจากยังมีปัญหาการเรียกเก็บเงินจากทีพีซี
หลังจากให้บริการสมาชิกอีลิทไปแล้ว ในส่วนของโรงแรมเองยังได้รับเงินบางส่วน หลังจากหักส่วนลดที่เสนอให้ผู้ถือบัตรอีลิทแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโรงแรมส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการมากนัก เพราะสมาชิกอีลิทที่มีอยู่ขณะนี้ไม่จูงใจให้เข้าร่วมโครงการ
"โดยความจริงแล้วโครงการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท ที่ใช้ไปในโครงการบัตรอีลิท
น่าจะเห็นจำนวนสมาชิกผู้ถือบัตรมากกว่า 400 ราย เพราะหากภาครัฐต้องการให้เอกชนเข้าร่วมโครงการเพื่อให้ผลประโยชน์กับผู้ถือบัตร
ก็ควรแสดงให้ผู้ประกอบการเห็นประโยชน์ที่จะได้รับกลับไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะจำนวนสมาชิกที่ไม่ควรเป็นตัวเลข
400 รายเช่นนี้" แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้แผนการสร้างทรัพย์สินให้ทีพีซี ด้วยการลงทุนเพื่อเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟ
โรงแรม คลับเฮาส์เอง คาดว่าต้องใช้งบลงทุนอีกนับพันล้านบาท สำหรับการลงทุนโรงแรมหรูระดับ
5 ดาวหนึ่งแห่งจะต้องใช้งบลงทุนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ตามเงินทุนจดทะเบียนที่รัฐลงทุนให้
ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะคุ้มกับการให้บริการสมาชิกผู้ถือบัตรจำนวนน้อยนิด อีกทั้งน่าจะผิดวัตถุประสงค์ของการตั้ง
ทีพีซี ที่น่าจะเป็นบริษัทที่ดูแลการให้บริการสมาชิก มากกว่าจะมาสวมบทบาทผู้ลงทุนเป็นเจ้าของทรัพย์สินต่างๆ
เอง จากเงินภาษีของประชาชน การเดินกลยุทธ์ของอีลิทที่ผ่านมาจึงเปรียบเสมือนการยิ่งปรับยิ่งหลงทาง
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่าแผนการประชาสัมพันธ์ของทีพีซีในปีนี้ก็น่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า
500 ล้านบาท เมื่อรวมกับที่ใช้ไปแล้ว 500 ล้านบาท ถือเป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก
เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับแล้วไม่น่าจะคุ้มค่าการลงทุนของภาครัฐ เพราะหลังจากทีพีซี
ลงทุนสร้างสนามกอล์ฟ โรงแรม คลับเฮาส์ แล้ว จะต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการจ้าง
บุคลากรมาบริหารสูงมาก หากวางตัวว่าอยู่ในระดับหรู การบริการก็จะต้องเหนือระดับด้วย
เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการเอกชนที่อยู่ในตลาดนี้มาก่อนได้
**สปาเรียกเก็บเงินลำบาก
นายไมเคิล ที.เอช. ไลย์ อุปนายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีสปาเข้าร่วมโครงการบัตรอีลิทจำนวน
70 ราย ขณะนี้มีผู้ถือบัตรเข้ามาใช้บริการไม่มากนัก เพราะยังมีสมาชิกน้อยราย แต่สปาที่เข้าร่วมโครงการและมีสมาชิกอีลิทมาใช้บริการพบปัญหาว่าเรียกเก็บเงินที่จะได้รับจาก
ทีพีซี มูลค่า 1,500 บาทล่าช้ามาก โดยต้องเรียกเก็บข้ามเดือน ทั้งที่ควรใช้เวลาเรียกเก็บเงินไม่เกิน
15 วัน เพราะทีพีซี ได้รับเงินจากสมาชิกมาแล้วรายละ 1 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังพบว่าทีพีซี ที่วางแผนจะนำสปาที่เข้าร่วมโครงการไปโฆษณาในต่างประเทศ
ก็ไม่ได้ดำเนินการในส่วนนี้ให้ผู้ประกอบการ การทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์บัตรอีลิทในต่างประเทศ
มีเพียงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวบัตรอีลิทเท่านั้น ไม่ได้โฆษณาผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการแต่อย่างใด
หากบัตรอีลิทโฆษณาตัวเองมากขณะนี้ ก็น่าจะเห็นตัวเลขจำนวนสมาชิกในระดับ 10,000
ราย ไม่น่าจะอยู่ที่ 400 รายเช่นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเอเย่นต์ตัวแทนขายที่แต่งตั้งขึ้น
12 รายไม่มีความสามารถเพียงพอ
อย่างไรก็ตามการที่ ทีพีซี เลือกสปาเข้าร่วมโครงการกว่า 70 ราย น่าจะเกิดปัญหาในอนาคต
เพราะมีจำนวนมากเกินไปจนอาจไม่สามารถควบคุมคุณภาพสปาที่จะให้บริการสมาชิกบัตรอีลิทได้
หากสมาชิกได้รับบริการที่ไม่มีมาตรฐานก็จะสร้างภาพลักษณ์เสียหายต่อธุรกิจสปาในอนาคต