Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน16 เมษายน 2547
ยักษ์อสังหาฯ กำไรถดถอย หันปรับกลยุทธคุมต้นทุน             
 


   
www resources

โฮมเพจ แสนสิริ

   
search resources

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, บมจ.
โนเบิล ดีเวลอปเม้นท์, บมจ.
แสนสิริ, บมจ.
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, บมจ.
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.
เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.
อนันต์ อัศวโภคิน
ธงชัย บุศราพันธ์
นพร สุนทรจิตต์เจริญ
อภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล
Real Estate




กลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เร่งหันปรับประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงานลง หลังพบตัวเลขการสร้างกำไรต่อยอดขายอยู่ในเกณฑ์ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับต้นทุนการบริหารและขายที่เป็นตัวถ่วงการเติบโตของกำไรสุทธิ ผู้ประกอบการชี้เตรียมวัดผลกำไรปีนี้ทั้งกลุ่มเติบโตแบบถดถอย หลังตัวช่วยด้านมาตรการภาษีของภาครัฐยุติลง

จากการสำรวจอัตราการเติบโตของผลกำไรในกลุ่มบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัย เทียบระหว่างปี 2546 กับปี 2545 พบว่า แสนสิริ มีอัตราการเติบโตของยอดขายสูงถึง 229% รองลงมาเป็นโนเบิล 194% , พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 106%, แอลพีเอ็น 92% , เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ 76% , ควอลิตี้เฮ้าส์ 67% , ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ 63% ,โกลเด้นแลนด์ 40% และ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 23%

ขณะเดียวกันเมื่อเทียบอัตราการเติบโตของกำไร ระหว่างปี 2546 กับปี 2545 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มาเป็นที่หนึ่ง ด้วยตัวเลข 5,264 ล้านบาท รองลงมา เป็นเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ 1,189 ล้านบาท , ควอลิตี้เฮ้าส์ 1,105 ล้านบาท , พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 900 ล้านบาท , ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ 784 ล้านบาท , โนเบิลฯ 724 ล้านบาท , แอลพีเอ็น 464 ล้านบาท , โกลเด้นแลนด์ 453 ล้านบาท และแสนสิริ 420 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี หากนำตัวเลขของผลประกอบการของแต่ละบริษัทมาวิเคราะห์ ถึงศักยภาพในการทำกำไรขั้นต้น (Gross Margin) และกำไรสุทธิ (Net Margin) (ดูตารางประกอบ) จะเห็นได้ว่า บริษัทที่สามารถมีผลกำไรสุทธิสูงสุดถึง 28% จากตัวเลขกำไรขั้นต้น 41% ใช้ต้นทุนในการบริหารงานขายและดำเนินงาน (SG&A) เพียง 13% เมื่อเทียบกับโกลเด้นแลนด์ มีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น ใกล้เคียงกันคือ 40% แต่มีต้นทุนในการขายและดำเนินงานสูงถึง 18% ซึ่งมีผลทำให้กำไรสุทธิที่ได้อยู่ที่ระดับ 22% เท่านั้น

นายธงชัย บุศราพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทโนเบิลดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะให้ความสำคัญกับการรักษาอัตราการเติบโตของกำไรเป็นหลัก เหตุที่ไม่ขยับมาก มาจากภาวะการแข่งขันสูง และต้นทุนต่าง ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับไตรมาสแรกของปีนี้ ความสนใจในการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มองธุรกิจกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คงหายไปบ้าง จากข้อจำกัดหลายประเด็นที่ออกมาจากภาครัฐ อาทิ การไม่ต่อภาษีลดหย่อนสำหรับผู้ซื้อบ้านและธุรกิจ ข้อจำกัดของการปล่อยสินเชื่อบ้านให้ไม่เกิน 70% ของบ้านระดับราคา10 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงกระแสข่าวทางภาคใต้ที่เป็นหนึ่งของการตัดสินใจ

ในช่วงไตรมาส 2 คาดว่านักลงทุนจากต่างประเทศจะมีแรงซื้อเข้ามา โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการขับเคลื่อนของกองทุนวายุภักษ์ แต่ในส่วนของคนซื้อบ้านคงไม่กระทบเท่าใดนักจากข้อจำกัดที่เกิดขึ้น

นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคซี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะเติบโตในทิศทางที่ลดลง มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท ทั้งนี้เนื่องจากตัวช่วยด้านกำลังซื้อ และปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ หดหายไป อาทิ มาตรการลดหย่อนภาษีการซื้อบ้าน ปัญหาวัสดุขึ้นราคา การขาดแคลนแรงงาน จะมีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจ ขณะที่ในปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดซึ่งมีผลจากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว

"ในช่วงปีที่แล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ถือว่าอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ เพราะรัฐบาลต้องให้การสนับสนุนทางด้านภาษี ต้นทุนที่ดินที่พัฒนาส่วนใหญ่ได้มาด้วยต้นทุนที่ไม่แท้จริง มีการตัดทอนเพื่อซื้อให้ถูก จากภาวะทางเศรษฐกิจในช่วงนั้น หลายบริษัทมีการปรับโครงสร้างหนี้ทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำกว่าในช่วงปกติ ทำให้แต่ละบริษัทมีกำไรที่เติบโตมากในปีที่แล้ว แต่พอมาในปีนี้ สถานการณ์ทุกอย่างกลับสู่ปกติ แต่ละบริษัทต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะร้อยละ 3.3 ต้นทุนทุกอย่างเข้ามาใกล้เคียงปกติ โดยมองว่าทุกบริษัทในตลาดน่าจะมีกำไรน้อยลง ประมาณ 5%"

สำหรับการดำเนินงานของบริษัท ปีนี้จะเน้นควบคุมการบริหารต้นทุนให้ต่ำที่สุด มีการใช้จ่ายให้น้อยที่สุด เพิ่มสัดส่วนการขาย และเร่งกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยในปี 2546 บริษัทกำไรจากการดำเนินงาน 1,358 ล้านบาท

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ปรับพอร์ตพัฒนาสินค้าในระบบ จากบ้านเดี่ยว 100% ในปี 2545 เป็นการบริหารบ้านเดี่ยว 60% ในระดับราคา 5 ล้านบาท บ้านเดี่ยว ก่อสร้างด้วยระบบพรีแฟบครั้งแรก ระดับ 2 ล้านบาท เปิดตัวสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมครั้งแรก สัดส่วน 10% ให้สอดรับกับความต้องการของตลาด และลดดีกรีการแข่งขันจากคู่แข่งเก่า-ใหม่ แจงผลประกอบการปี 46 กำไรสุทธิ 6,191 ล้านบาท เติบโต 62% จากปี 45

นายอนันต์ อัศวโภคิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 46 และแผนพัฒนาธุรกิจปี 47 ว่า จากภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีที่ผ่านมา มีอัตราการขยาย ตัวเพิ่มขึ้น 96% โดยมีตัวเลขบ้านจดทะเบียนประเภทจัดสรรเพิ่ม 31,996 ยูนิต เทียบกับปี 2545 ที่มีจำนวน 16,342 ยูนิต ในจำนวนนี้แยกเป็นบ้านเดี่ยว 17,911 ยูนิต เติบโต 108% จากปี 2545 ที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ มี 11,272 ยูนิต เพิ่มขึ้น 97% และในส่วนของยอดจดทะเบียนอาคารชุด มี 1,908 ยูนิต ที่มีสัดส่วนลดลง 3% เมื่อเทียบกับปี 45

จากสัดส่วนยอดจดทะเบียนที่อยู่อาศัยประเภทจัดสรร แสดงถึงปริมาณความต้องการของที่อยู่อาศัยรวมที่คาดว่าจะอัตราเติบโตต่อเนื่อง สำหรับปี 2547 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 65,0000-70,000 ยูนิต นับเป็นการเติบโตในระดับที่ต้นทุนการก่อสร้าง กฎข้อระเบียบบังคับจากผังเมืองไม่น่าจะส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมและราคาบ้านมากนัก

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเน้นการสร้างศักยภาพในการส่งมอบบ้านให้กับลูกค้า จากการบริหารก่อสร้างที่รวดเร็ว และในปีนี้ได้มีการปรับ สัดส่วนของสินค้าในระบบ เพื่อสอดรับกับพฤติกรรม และความต้องการของผู้บริโภคในตลาดบ้านระดับกลาง ที่มีอัตราการเติบโตสูงมาก

การปรับเปลี่ยนจะมีการพัฒนาบ้านเดี่ยว ระดับไม่เกิน 5 ล้านบาท ประมาณ 60% อีก 10% เป็นคอนโดมิเนียม รวมถึงการพัฒนาอีกโครงการบ้านเดี่ยวระดับไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งจะพัฒนาด้วยระบบพรีแฟบ มีกำลังผลิตได้ 400 ยูนิตในปี 47 และจะเพิ่มเป็น 800 ยูนิตในปีต่อไป

นักวิเคราะห์จากบริษัท กิมเอ็ง ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ศักยภาพในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งระบบน่าจะมีแนวโน้มลดลง จากปัจจัยของต้นทุนวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูง และการที่ภาครัฐบาลยุติการสนับสนุนทางด้านภาษี นอกจากนี้ภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมก็มีส่วนสำคัญต่อผลการดำเนินงานในปีนี้ด้วย

แหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ ให้ความเห็นว่า ข้อจำกัดในธุรกิจทั้งการยกเลิกมาตรการทางภาษี วัสดุขึ้นราคา แรงงานขาดแคลน เป็นสิ่งที่หลายบริษัทมองเห็นถึงปัญหาที่จะรุนแรงขึ้น ทางออกคือทุกคนหันมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร อาทิ การปรับเอาระบบเทคโนโลยีการก่อสร้างสำเร็จรูปมาใช้ เพื่อเร่งปริมาณการผลิตให้มากขึ้นแม้ว่าจะได้มาร์จินที่ต่ำกว่าการผลิตบ้านระดับบนแล้วทำกำไรต่อหน่วยได้มาก

การจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเป็นอีกแนวทางที่หลายบริษัทเริ่มมองหา เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ และช่วยในเรื่องของต้นทุนระหว่างกันได้

ผลวิเคราะห์จากบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ในปี 2547 ตลาดที่อยู่อาศัยจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากเป็นการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงของปี 2546 ที่มีการเร่งซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อให้ทันกับมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์สิ้นสุดลงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องการปรับราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้น จากภาวะต้นทุนสูงของผู้ประกอบการ ทั้งภาระด้านธุรกิจเฉพาะ 3.3% ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง อาทิ เหล็ก มีแนวโน้มสูงขึ้น การบังคับใช้ข้อกำหนดผังเมืองฉบับใหม่ที่จะประกาศใช้เดือนกรกฎาคม 2547 รวมถึงการปรับราคาที่ดินในเขตกรุงเทพฯ เฉลี่ย 5.6% ประกอบกับแนวโน้มการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้จะเริ่มสูงขึ้น ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูงทางการเงิน การตลาด และการบริหารต้นทุน จะมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

ความสามารถในการทำยอดขายของกลุ่มบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ในไตรมาสแรกของปี 2547 ทำได้ในสัดส่วนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2546 จากผลการวิเคราะห์ของทีมงานศูนย์วิจัยที่มีการนำกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 9 ราย มาวิเคราะห์ ประกอบด้วย เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ (AP) , โกลเด้นแลนด์ (GOLD), ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN), แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH), โนเบิล (NOBLE) , พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) , ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) , แสนสิริ (SIRI) พบว่าในปี 2547 มีการประมาณการยอดขายรวมกันเป็นตัวเลขสูงถึง 72,500 ล้านบาท แค่เพียงไตรมาสแรกของปีนี้มียอดพรีเซลเกิดขึ้นแล้วถึง 39% จากเป้าที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นว่าอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปีน่าจะทำตัวเลขได้ถึงที่ประมาณการไว้

หากวิเคราะห์กำไรต่อหุ้นของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เทียบ ไตรมาสแรกของปี 2547 กับไตรมาสแรกของปี 2546 พบว่า AP มีกำไรต่อหุ้นลดลง 58% , GOLD ลดลง 39% , LALIN ลดลง 48% , LH ลงลง 25% , LPN ลดลง 88% , NOBLE ลดลง 66% , PF เพิ่มขึ้น 56% , QH ลดลง 47% และ SIRI ลดลง 58% เป็นผลมาจากผู้บริโภคเร่งตัดสินใจซื้อและโอนบ้านในช่วงปลายปี ทำไตรมาสแรกชะลอตัว ส่วนไตรมาสที่เหลือน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จากพิจารณาถึงยอดพรีเซลที่ทำได้สูงในไตรมาส 1

"ต้นทุนวัสดุที่เพิ่มขึ้นไม่มีผลกระทบมากนักต่อความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2% สำหรับเหล็ก และ ไม่ถึง 10% สำหรับปูนซีเมนต์ แต่ที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นต้นทุนที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการ ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 20% ของราคาขายบ้านแต่ละหลัง เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตคิดมากกว่าจะเป็นต้นทุนที่ดิน" นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us