"สุภัค ศิวะรักษ์" ตั้งเป้าเพิ่มสินเชื่อปี47 อีก 2.4 หมื่นล้านบาท
พร้อมจับมือดีบีเอส ไทยทนุเสนอทางเลือกให้รัฐวิสาหกิจ สวอป อัตราแลกเปลี่ยนป้องกันความเสี่ยง
เริ่มเจรจาแล้ว 4-5 ราย เม็ดเงินสูง กว่าหมื่นล้านบาท ยอมรับสินเชื่อปี 46 ขยายตัวต่ำ
เหตุมาจากเร่งแก้หนี้เน่าคาดสิ้นปีจะลดให้เหลือเพียง 5% ประมาณการกำไรปีนี้อยู่ที่
4-5 พันล้าน เบนเข็มขยายฐาน SMEs เชื่อมั่นเป็นตลาดที่มีอนาคต ส่วนเงินฝาก น่าจะโตเฉลี่ย
2-3% ฟันธงปลายปีนี้ FED ขึ้นดอกเบี้ยแน่นอน
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)(TMB) เปิดเผยว่า
การดำเนินธุรกิจของธนาคารทหาร ไทย ภายหลังจากการควบรวมกิจการจะสามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ต่อไป
ซึ่งในส่วนของธนาคารทหารไทยเองได้ตั้งเป้าการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ
24,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปี 2546 ประมาณ 8% จากพอร์ตสินเชื่อเดิม
โดยในระยะแรกนี้ธนาคารได้ร่วมมือกับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ พัฒนาผลิตภัณฑ์ทาง การเงินในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งผลิตภัณฑ์แรกที่ธนาคารได้นำเสนอกับลูกค้าของธนาคารคือ เข้าไปทำการสวอปอัตราแลกเปลี่ยนหรือ
ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหนี้เงินกู้ระหว่าง ประเทศของรัฐวิสาหกิจต่างๆ
โดยในเบื้องต้นได้เจรจากับรัฐวิสาหกิจแล้ว 4-5 ราย ในวงเงินกว่า 10,000 ล้านบาท
"การที่ธนาคารทหารไทยหันมาทำธุรกิจด้าน นี้ เนื่องจากรัฐบาลได้ให้รัฐวิสาหกิจที่มีเงินกู้จาก
ต่างประเทศชำระเงินกู้ต่างประเทศโดยมีเงื่อนไขว่า ต้องใช้แหล่งเงินภายในประเทศไปคืนเงินกู้ต่างประเทศ
ซึ่งในการทำสวอปครั้งนี้ธนาคารก็จะมีรายได้ในรูปของค่าธรรมเนียม และถือว่าไม่มีความเสี่ยงเนื่องจากไม่ใช่เป็นการปล่อยกู้
และไม่ต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และในอนาคตธนาคารก็จะหันมาทำธุรกรรมประเภทนี้เพิ่ม"
นายสุภัค กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อโดยทั่วไปของอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาสแรกของปีการขยายตัวของสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างช้า
เนื่องจากช่วงปลายปีธนาคาร พาณิชย์ทุกแห่งต่างเร่งขยายสินเชื่อในปริมาณที่สูงทำให้ฐานสินเชื่อรวมโตขึ้นมาก
ตัวเลขสินเชื่อในไตรมาส 1 ของปีถัดมาจึงถูกมองว่าขยายตัวช้าแท้จริงแล้วการขยายตัวก็เป็นไปตามปกติ
ซึ่งในปีนี้ตัวเลขอัตราการขยายตัวของธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมนั้นกำลังการผลิตใกล้เต็มแล้วน่าจะมีการขอสินเชื่อเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่ม
ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อไปแล้วประมาณ 2,000 ล้านบาท
โดยถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ และยังมีสินเชื่อที่อนุมัติไปแล้วแต่
ยังไม่ได้มีการเบิกใช้อีกประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อรวมของธนาคารอยู่ที่ประมาณ
300,000 ล้านบาท และถือว่าเป็นการขยายตัวที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ เนื่องจากในปีที่ผ่านมาธนาคารให้ความสำคัญกับการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
หรือ NPL รวมถึงการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ด้วย
"ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายการลดNPL ให้เหลือประมาณ 5% จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ
10% ซึ่งตัวเลขในปัจจุบันนี้ถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่ทางแบงก์ชาติกำหนดไว้ และเมื่อดูตัวเลขของธนาคารดีบีเอส
ไทยทนุ มีNPL อยู่ประมาณ 10% และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(IFCT) มี
NPL ประมาณ 11-12% เมื่อควบรวมกิจการเสร็จสิ้นแล้วตัวเลข NPL ก็จะอยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างจากเดิมนัก
และเป้าหมายการลด NPL ก็คงจะดำเนินการต่อไป"
นายสุภัคกล่าวต่อว่า การประมาณการกำไร ในปี 2547 ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายทำกำไรสุทธิไว้ประมาณ
4,000-5,000 ล้านบาท โดยประมาณ การนี้เป็นตัวเลขที่ธนาคารตั้งไว้เฉพาะในส่วนของธนาคารทหารไทย
ยังไม่ได้รวมถึงประมาณ การผลกำไรของธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
หลังจากการควบรวมและปรับระบบต่างๆ แล้วเสร็จคงมีการปรับประมาณการนี้ใหม่
ส่วนเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร หลังจากที่มีการควบรวมนั้น ธนาคารจะเน้นการ
ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs เนื่องจากมีฐานลูกค้าอยู่เป็นจำนวนมาก
อีกทั้งสินเชื่อSMEsยังถือเป็นจุดแข็งของทั้งธนาคารทหารไทยและIFCT ด้วย ส่วนสินเชื่อรายย่อยหรือธุรกิจRetail
Banking นั้นจะยังไม่เร่งรุกตลาดมากนักในช่วงนี้ ต้องรอการปรับใช้เทคโนโลยีและวิธีการจากกลุ่มของดีบีเอสก่อน
"เหตุผลที่เลือกจับกลุ่มลูกค้าSMEs เป็นเพราะฐานของลูกค้ามีอยู่เป็นจำนวนมาก
ตลาดยังมีส่วนแบ่งเหลืออยู่อีกมาก ธนาคาร และบรรษัทฯเองก็เข้าใจและรู้จักธุรกิจของลูกค้าดี
และที่สำคัญคือธุรกิจSMEsนี้ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจ ส่วนกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ก็เป็น
ที่หมายปองของแบงก์ใหญ่ๆ อยู่แล้วและบริษัทใหญ่ๆ ก็สามารถระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ที่มีต้นทุนต่ำกว่ากู้แบงก์ได้"
นายสุภัคกล่าวว่า การที่ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยาวขึ้นอีก 0.25%
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เนื่องจากธนาคารต้อง การปรับฐานเงินฝากเพราะในระยะนี้เงินฝากระยะยาวของธนาคารที่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงใกล้จะครบกำหนดระยะเวลารับฝากแล้ว
ดังนั้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาสัดส่วนเงินฝากระยะยาวเพื่อนำมาขยายฐานสินเชื่อ
ส่วนเงินฝากระยะสั้นของธนาคารนั้นขณะนี้มีสัดส่วนของเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่
35-40% ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว ทางด้านเงินฝากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่าน
มาจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2547 มีเม็ดเงินไหลเข้ามาแล้วจำนวนประมาณ 10,000 ล้านบาท
ส่วนใหญ่จะเป็นเงินฝากระยะยาวและเงินฝากออมทรัพย์ก็มีเพิ่มเข้ามาบ้าง
"อัตราการเติบโตของเงินฝากของธนาคารโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 2-3% โดยในช่วง
4-5 เดือนหลังของปี 2546 มีปริมาณเงินเข้าสู่ระบบมาก โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคม
2546 ที่ผ่านมานั้นมีปริมาณเงินฝากเข้าสู่ระบบมากผิดปกติ เนื่องจากรัฐบาลได้อนุมัติให้ข้าราชการบำนาญสามารถนำเงินบางส่วนออกมาใช้ได้ก่อน
ซึ่งในส่วนของธนาคารทหารไทยจะมีเม็ดเงินของ ข้าราชการทหารเข้ามามากแต่ก็อยู่ในระยะสั้นเพราะมีการเบิกไปใช้กันมาก
และส่วนของธนาคารกรุงไทยนั้นก็คาดว่าจะมีเข้ามามากเช่นกัน"
นายสุภัคกล่าวว่า แนวโน้มที่ธนาคารกลาง สหรัฐฯหรือ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี
หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จ สิ้นมีความเป็นไปได้สูง และเชื่อว่าในช่วงต้นปีหน้าระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยก็จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม
โดยที่ธนาคารทหารไทยก็ได้ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวไปแล้วล่วงหน้า
และเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์เกิดความผันผวนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของธนาคารทหารไทย
เนื่องจากธนาคารได้ลงทุนในส่วนของหุ้นหรือตราสารประเภท ต่างๆน้อยมาก ความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้นจึงแทบ
ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อธนาคาร