Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน7 เมษายน 2547
ขายหุ้นใหญ่นิสสันไทยชัยชนะของ"พรประภา"             
 


   
search resources

บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย), บจก.
เดมเลอร์ไครสเลอร์ (ประเทศไทย), บจก.
ยนตรกิจ กรุ๊ป
สยามกลการ, บจก.
มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย
นิสสัน มอเตอร์
สยามนิสสัน ออโต้โมบิล, บจก.
สยามกลการและนิสสัน
พรเทพ พรประภา
Automotive




การขายหุ้นใหญ่นิสสันในไทยของกลุ่มสยามกลการ ถือเป็นบริษัทรถยนต์รายล่าสุดที่ถูกซื้อกิจการกลับไปเป็นของบริษัทแม่ จึงไม่แปลกหากจะถูกมองด้วยสายตาไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะแพ้หากมองในอีกแง่มุม กลับถือเป็นชัยชนะของตระกูล "พรประภา" มากกว่า ซึ่ง "พรเทพ พรประภา" เองก็พยายาม พูดอยู่เสมอ.....การขายหุ้นครั้งนี้เป็นนโยบาย WIN-WIN

"สยามกลการภูมิใจในความสัมพันธ์กับนิสสันมากว่า 50 ปี โดยถือเป็นผู้จัดจำหน่ายของนิสสันรายแรกในตลาดต่างประเทศ และด้วย การสนับสนุนอย่างดีของนิสสัน สยามกลการจึงสามารถเพิ่มธุรกิจจาก การจัดจำหน่ายไปสู่การประกอบรถยนต์ ในปี 2503 และการส่งออกในปี 2542 แต่เมื่อสิ่งแวดล้อมการแข่งขันในธุรกิจนี้เปลี่ยนแปลงไป สยามกลการจึงมีความยินดีเข้าร่วมกระบวนการโลกาภิวัตน์ โดยมีนิสสันเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ภายใต้นโยบาย WIN-WIN"

นั่นคือคำกล่าวของพรเทพ พรประภา กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามกลการ จำกัด ในงานเซ็น สัญญาขายหุ้นของสยามกลการในบริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด (SNA) ผู้ผลิตปิกอัพ และจำหน่าย รถยนต์นิสสันในไทย และบริษัท สยามกลการ และนิสสัน จำกัด (SMN) ผู้ประกอบรถยนต์นั่งให้กับ บริษัทนิสสัน มอเตอร์ จำกัดจำนวน 50% ของสัดส่วน หุ้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 7.64 พันล้านบาทและเมื่อรวม กับหุ้นเดิม 25% ทำให้นิสสันมอเตอร์กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 75% ขณะที่สยามกลการเหลือหุ้นเพียง 25%

การเปลี่ยนจากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่มาเป็น ผู้ถือหุ้นรายเล็ก และไม่มีอำนาจในการบริหารจัด การบริษัทที่อยู่ในอุ้งมือสยามกลการของตระกูล "พรประภา" มานานกว่า 50 ปี หรือมากกว่าครึ่งศตวรรษ ทำให้แทบทุกคนรวมถึงสื่อมวลชนต่างมอง เห็นเหมือนกันว่า......หมดยุค "พรประภา" แล้ว!

สาเหตุที่ทำให้ถูกมองเช่นนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ คล้ายๆ กันได้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ใน อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ไม่ว่าจะเป็น เดมเลอร์ ไครสเลอร์ บริษัทแม่ของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เข้ามาซื้อกิจการจากตระกูล "วิริยะพันธุ์" , บีเอ็มดับเบิลยู ซื้อกิจการจากกลุ่มยนตรกิจของตระกูล "ลีนุตพงษ์" หรือมิตซูบิชิ ที่เข้ามาซื้อกิจการจากตระกูล "พรรณเชษฐ์"

ที่สำคัญ การที่เจ้าของแบรนด์ต่างๆ เข้ามาซื้อกิจการกลับคืน จากกลุ่มนักธุรกิจตระกูลใหญ่ของไทยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ล้วนเหมือนถูกหักคอ เอากิจการไปต่อหน้าต่อตาทั้ง ที่ยังพอเหลือเยื่อใยอยู่บ้างจากการเป็นพันธมิตรมายาวนาน อย่างดีก็เป็นเพียงรับจ้างประกอบ อย่างตระกูลวิริยะพันธุ์ที่รับจ้างประกอบรถให้กับเมอร์เซเดสเบนซ์ หรือรับจ้างผลิตเฉพาะบางขั้นตอนของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูของตระกูลลีนุตพงษ์ ที่ยังพอมีหุ้นเหลืออยู่ บ้างอย่าง ตระกูลพรรณเชษฐ์ก็แทบจะไม่ถือว่าเป็นหุ้น ส่วน เพราะมีไม่ถึง 1% เลยในปัจจุบัน

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม? คนถึงมอง............"พรประภา" ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่ทุนข้ามชาติจนได้! แต่ภายใต้ปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนสยามกลการ ของตระกูลพรประภาพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง หากมอง อย่างลึกซึ้งในอีกแง่มุมหนึ่ง...... มันอาจจะกลายเป็น ชัยชนะของ "พรประภา" ก็ได้!!

สิ่งแรกที่ทำให้การเข้ามากุมอำนาจบริหารเบ็ดเสร็จของนิสสัน มอเตอร์ ครั้งนี้ ดูจะมีความแตกต่าง ไปจากรายอื่นๆ ประเด็นแรก คือ นิสสัน มอเตอร์ ได้ พยายามเข้ามาถือหุ้นนับตั้งแต่ปี 1999 ตั้งแต่ไทยกำลังอยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ และหลายยี่ห้อเริ่มเข้า มาชอปซื้อกิจการในไทยอย่างคึกคัก แต่กว่านิสสันมอเตอร์ประสบความสำเร็จต้องใช้เวลาล่วงเลยมานาน ถึง 5 ปี ซึ่งสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเปลี่ยนไปแล้ว โดยหวนกลับมาอยู่ในสภาวะขาขึ้นอีกครั้ง

นั่นแสดงให้เห็นถึงอำนาจการต่อรองของ "พรเทพ พรประภา" นายใหญ่ผู้กุมบังเหียนสยามกลการและนิสสันในไทย และที่สำคัญแม้สยามกลการจะขายหุ้นในเอสเอ็นเอ และเอสเอ็มเอ แต่ก็ยังเหลือสัดส่วนหุ้นมากถึง 25% พร้อมกับมีเงินสดในมือทันทีเกือบ 8 พันล้านบาท

นี่คือความแตกต่างที่เห็นอย่างชัดเจน ระหว่าง "พรประภา" กับตระกูลต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น แม้การถือหุ้นแค่นี้จะไม่ทำให้มีอำนาจอะไรในการบริหารจัดการนิสสันในไทยอีกต่อไป แต่ดูเหมือน พรเทพ พรประภา จะพอใจในจุดนี้อย่างมาก ดังจะเห็นได้จากที่ก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า...

"สยามกลการต้องการที่จะขายหุ้นให้แก่นิสสัน มอเตอร์ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เพราะตลาดรถยนต์ไทยมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น นับวันนิสสันมีแต่จะเสียเปรียบคู่แข่งซึ่งล้วนเป็นเจ้าของ แบรนด์ เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีทุนในการดำเนินกิจการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีการผลิต การตลาดการส่งเสริมการขาย รวมถึงการสนับสนุนในการ ส่งออก การเข้ามาถือหุ้นใหญ่ของนิสสัน มอเตอร์ จึงน่าจะส่งผลดีต่อทั้งตัวสยามกลการและนิสสันในไทย"

จากการให้สัมภาษณ์ของพรเทพยืนยันได้ชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ที่ต้องการขาย ไม่ใช่ถูกบีบให้ขายเหมือนกับหลายยี่ห้อ และหากการดำเนินงานที่เป็นมืออาชีพของนิสสัน มอเตอร์ ช่วยทำให้ยอดขายของนิสสันในไทยเติบโตได้ การขายหุ้นใหญ่ไปครั้งนี้ "พรประภา" ย่อมนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นี้ก็อาจจะทำให้ได้รับผลกำไรมาก กว่า "พรประภา" ลงมาทำเองตลอดช่วงหลายสิบปีเสียอีก

แต่ถ้าหากนิสสันไม่สามารถเข็นให้กลับมาเฟื่องฟูได้อีก สัดส่วนหุ้น 25% ที่เหลืออยู่คงไม่ได้ทำให้ "พรประภา" บาดเจ็บมากมายนัก ที่สำคัญเงิน ก้อนโตเกือบ 8 พันล้านบาท ได้ถูกเก็บใส่ไว้ในบัญชีธนาคารไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับเม็ดเงินจำนวนเกือบ 8 พันล้านบาท ที่สยามกลการได้รับย่อมต้องนำไปเสริมความแข็งแกร่ง บริษัทลูกกว่า 40 บริษัท ซึ่งในจำนวนบริษัทเหล่านี้กว่า 60% ล้วนเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งถือเป็น อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มสดใสอย่างยิ่ง โดยเฉพาะรัฐบาลประกาศผลักดันให้ไทยเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" และยกให้อุตสาหกรรมยานยนต์เป็น 1 ใน 5 ยุทธศาสตร์หลักของประเทศ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมนี้อย่างดี

ฉะนั้นเมื่อไทยกลายเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย บริษัทผลิตชิ้นส่วนในเครือสยามกลการ ย่อมได้รับประโยชน์เต็มๆ โดยเฉพาะการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานประกอบรถยนต์นิสสันมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นยิ่งรถยนต์นิสสันภายใต้การบริหารของนิสสันมอเตอร์ขายดี และส่งออกมากเท่าไหร่ ชิ้นส่วนที่ผลิตจากบริษัทลูกของสยามกลการก็ยิ่งมีออเดอร์มากขึ้นเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุผล....ทำไม? "พรเทพ พรประภา" ถึงพยายามบอกผ่านสื่อมวลชนเสมอว่าการขายหุ้นครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้นโยบาย WIN-WIN!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us