บอร์ดแบงก์กรุงศรีอยุธยา ปรับวิธีจัดสรรทุนจดทะเบียน โดยอนุมัติเพิ่มทุน 3 พันล้านหุ้น
ขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจงและประชาชนทั่วไป 2 พันล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิม 1 พันล้านหุ้น
และตัดหุ้นที่ยังไม่ เรียกชำระจำนวน 3.7 พันล้านหุ้นที่เตรียมไว้รองรับ Warrant
พร้อมล้างขาดทุนสะสมจำนวน 3.2 หมื่นล้านบาทหมดทันทีโดยใช้การนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้น
และสำรองมาหัก และของดจ่ายเงินปันผล ด้านนักวิเคราะห์ระบุแบงก์กรุงศรีฯสามารถปล่อยสินเชื่อโต
10% ได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน 2 ปี แต่หากต้องการควบรวมต้องเพิ่มทุนเร็วๆ เพื่อนำมาควบรวม
นายจำลอง อติกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรี-อยุธยา เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคารมีมติให้ธนาคารออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน
3,000 ล้านหุ้น โดยเสนอขายให้แก่นักลงทุนประเภทเฉพาะเจาะจง (Private Placement)
หรือ PP และ/หรือขายให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) หรือ PO จำนวน 2,000
ล้านหุ้น และเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 1,000 ล้านหุ้น
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการยังมีมติให้ยกเลิกและอนุมัติให้ออกใหม่ในการเสนอขายหุ้นกู้ทุกประเภทในวงเงินรวมไม่เกิน
2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากมติดังกล่าวเป็นการปรับวิธีการจัดสรรทุนจดทะเบียนใหม่ โดยมีมติให้ลดทุนจดทะเบียนจากมติเดิม
7,850 ล้านหุ้น เป็น 4,089 ล้านหุ้น โดยตัดหุ้นจดทะเบียนที่ยังมิได้จำหน่ายออก
3,761 ล้านหุ้น (จากเดิมที่เสนอขายแบบRight Offering 1,000 ล้านหุ้นและรองรับ Warrant
ส่วนที่ไม่ได้ออกอีก 2,761 ล้านหุ้น) และมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่จาก 4,089
ล้านหุ้นเป็น 7,089 ล้านหุ้นดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังเป็นการทบทวนมติที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายหุ้นกู้ที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อปี
2542 ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ใหม่ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) ในปัจจุบันที่มีอายุ 1 ปี
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนจดทะเบียนและกำหนดโครงสร้างการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนใหม่ดังกล่าว
เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมในการระดมทุน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต หากธนาคารพิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์ต่อกิจการธนาคารและเป็นการดำเนินการเตรียมให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์
ของทางการเท่านั้น โดยธนาคารยังไม่ได้มีแผนเสนอ ขายหุ้นเพิ่มทุนในระยะอันใกล้แต่อย่างใด
"ขณะนี้แบงก์มีฐานะที่แข็งแกร่ง สามารถขยาย ธุรกิจได้ตามเป้าหมายโดยไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนในปีนี้
ซึ่งการขอมติเพิ่มดังกล่าวเป็นการปรับเปลี่ยน วิธีการจัดสรรหุ้นและเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต
และในส่วนของการเข้าไปรับซื้อสินเชื่อจากบง.กรุงศรีอยุธยาจำนวน 2-3 พันล้าน บาท
แบงก์มีเงินเพียงพออยู่แล้วและถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น" กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าว
ธนาคารมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วประมาณ 40,893 ล้านบาท และมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง
ตามมาตรฐานบีไอเอส ณ ธันวาคม 2546 ประมาณ 13.92% นับได้ว่ามีบีไอเอสอยู่อันดับต้นๆเมื่อเทียบกับระบบ
รวมทั้งมีการตั้งสำรองได้เกินเกณฑ์ที่ธนา-คารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องของฐานะของธนาคาร
กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวต่อไปว่าที่ประชุม คณะกรรมการยังมีมติให้ธนาคารล้างขาดทุนสะสม
ณ วันที่ 31 ธันวาคม ที่มีอยู่จำนวน ประมาณ 32,885 ล้านบาท โดยให้โอนเงินสำรองอื่นๆที่อยู่ประมาณ
11,821 ล้านบาท จากทุนสำรองตามกฎหมายที่มีอยู่ประมาณ 800 ล้านบาท และทุนสำรองส่วนล้ำมูลค่าหุ้นสามัญที่มีอยู่ประมาณ
20,263 ล้านบาท มาหักชดเชยผลขาดทุนสะสม ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและเงินกองทุนของธนาคาร
นอกจากนี้คณะกรรมการยังมีมติงดจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดการดำเนินงานประจำปี 2546
โดยจะนำเสนอมติ ดังกล่าวต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 92 ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นในวันที่
27 เมษายน 2547 นี้
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับฐานะเงินกองทุน
ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาขณะนี้หากต้องการที่จะใช้เพื่อขยายสินเชื่อที่เติบโตประมาณ
10% ธนาคารสามารถทำธุรกิจได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุนอีก 2 ปี เพราะธนาคารมีกำไรอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะสามารถมีกำไรเติบโตทุกๆปี
แต่หากธนาคารกรุงศรีอยุธยามีแผนที่จะควบรวมกิจการกับสถาบันการเงินอื่นๆนั้น คงจะต้องมีการเพิ่มทุนในเร็วๆนี้เพื่อมาใช้ในการควบกิจการ