ความมั่งคั่งและรายได้ของ JT ที่เคยโชติช่วงเหมือนแสงไฟที่เผาไหม้อยู่ที่ปลายมวนบุหรี่แต่ละมวน
กำลังเบาบางลงไม่ต่างจากควันและมวนบุหรี่ที่หดสั้นลงทุกขณะ ซึ่งนอกเหนือจากการรุกเพื่อรักษารายได้จากตลาดยาสูบ
ซึ่งเป็นธุรกิจแกนกลางของกลุ่ม ภายใต้ Brand-ing Declaration แล้ว JT ได้เร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม
และกลุ่มธุรกิจเวชภัณฑ์ เพื่อเติมเต็มยุทธศาสตร์การเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
JT ได้ระดมสร้าง Brand สินค้าแต่ละกลุ่ม ด้วยการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบการที่มีความชำนาญการหลากหลาย
รวมถึงการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ไม่แตกต่างจากการสร้างสะพานเชื่อมเพื่อการก้าวกระโดด
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่สร้างขึ้นใหม่นี้
Key Coffee Inc. ผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟผง ได้รับเลือกจาก JT ในฐานะพันธมิตรรายแรกๆ
เพื่อการผลิต Roots เครื่องดื่มกาแฟบรรจุกระป๋อง ที่ในระยะเริ่มต้นมีรสชาติให้เลือกมากถึง
11 แบบ ก่อนที่จะลดจำนวนสายการผลิตเหลือเพียง 6 แบบในปัจจุบัน
นอกจากนี้ JT ได้ร่วมมือกับ Doutor Coffee Co. ผู้ประกอบการเครือข่ายร้านกาแฟที่ได้รับความนิยมมากรายหนึ่งของญี่ปุ่น
เพราะยังคงบุคลิกการเป็นร้านกาแฟในอุดมคติ สำหรับผู้ชื่นชอบการสูบบุหรี่ด้วยการจัดพื้นที่สำหรับการสูบบุหรี่ไว้อย่างกว้างขวาง
เพื่อร่วมผลิตเครื่องดื่มกาแฟ ภายใต้ brand และรูปลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ใหม่
ในรูปของขวดพลาสติก PET ที่กำลังได้รับความนิยมเพราะสามารถพกพาไปได้ตลอดการเดินทางด้วยฝาปิดอีกด้วย
แต่นั่นมิได้หมายความว่า JT ปราศจากศักยภาพในการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด
ความได้เปรียบของ JT อยู่ที่การมีเครือข่ายของช่องทางการจัดจำหน่ายที่ผู้ประกอบการธุรกิจรายอื่นๆ
อาจทำได้เพียงเฝ้ามอง เพราะนอกเหนือจากร้านค้ายาสูบ ซึ่งถือเป็นร้านค้าเฉพาะทางที่มีอยู่ทั่วไปทุกหัวมุมถนนแล้ว
ร้านค้าประเภทสะดวกซื้อ และ Supermarket ทุกแห่ง ยังถือเป็นช่องทางและพื้นที่การจัดจำหน่ายที่
JT มีความคุ้นเคยอย่างดี
ไม่นับรวม vending machine ที่มีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการบริโภคของสังคมญี่ปุ่น
และได้รับการจัดวางกระจายอยู่ในทุกที่ที่ต้องการสินค้า refreshment เหล่านี้
ขณะเดียวกัน JT ได้เข้าซื้อกิจการด้านอาหารจาก Asahi Chemical Industry
Co. และร่วมเป็นพันธมิตรกับ Katokichi Co. ผู้ประกอบการด้านอาหารรายใหญ่รายหนึ่งของญี่ปุ่น
เพื่อรองรับการผันตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและอาหารแช่แข็ง รวมถึงการเข้าซื้อกิจการของ
Saint-Germain ผู้ประกอบการเครือข่ายร้าน bakery ที่ดำเนินไปในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจที่ต้องการเน้นอาหารแช่แข็ง
เครื่องปรุงรส (seasonings) และ Bakery ด้วย
แม้ว่าความเคลื่อนไหวของ JT ในธุรกิจอาหารซึ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อปี
1998 จะไม่คึกคักมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจยาสูบ อีกทั้งยังดำเนินไปในลักษณะที่ไม่สามารถสร้างตำแหน่งของผลิตภัณฑ์
ให้โดดเด่นจากผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่ย่างก้าวของ JT ในห้วงระยะเวลาเพียง
5 ปี คงสั้นเกินไปที่จะประเมินความสำเร็จหรือล้มเหลวของกลุ่ม
แตกต่างจากกลุ่มธุรกิจเวชภัณฑ์ ซึ่ง JT ได้เริ่มขยายธุรกิจมาตั้งแต่เมื่อปี
1987 จากการเป็นหน่วยงานวิจัยภายใน (in-house research) เพื่อรองรับการขยายตัวของกิจการยาสูบ
ปัจจุบัน ธุรกิจเวชภัณฑ์ของ JT มีผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคอย่างหลากหลาย
ภายใต้คำขวัญ "The World provides Excellent R&D resources for us" ซึ่ง
JT กำลังได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในฐานะผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่
ในปี 1998 การขยายตัวเข้าสู่ตลาดเวชภัณฑ์ภายในประเทศญี่ปุ่นของ JT เริ่มต้นขึ้น
เมื่อ JT เข้าซื้อหุ้น 53% ในกิจการของ Torii Pharmaceutical พร้อมกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาร่วมกับองค์กรอื่นๆ
ทั้งบริษัทผู้ประกอบการ และหน่วยงานในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งในญี่ปุ่นและในต่างประเทศ
เพื่อผลิตเวชภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
โดย Viracept ยาเพื่อการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และมีวางจำหน่ายทั้งในญี่ปุ่น
สหรัฐอเมริกา ยุโรป และในอีกหลายประเทศ ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลงานการร่วมวิจัยและพัฒนาระหว่าง
JT และ Agouron Pharmaceuticals Inc. ที่มีฐานธุรกิจอยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันผลิตขึ้น
นอกจากนี้ JT ยังได้ลงนามในสัญญาเพื่อเป็นผู้ครอบครองสิทธิการจำหน่ายยาต่อต้านไวรัส
HIV ที่พัฒนาโดย Gilead Sciences Inc. บริษัทเวชภัณฑ์จากสหรัฐอเมริกาโดยสัญญาดังกล่าวให้สิทธิ
JT ในการเป็นผู้จำหน่ายยา VireadR และ Emtriva รวมถึงยาชนิดใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
ด้วยการนำประสิทธิภาพของยาทั้งสองชนิดมาผนึกผสมเข้าด้วยกัน แต่เพียงรายเดียวสำหรับตลาดญี่ปุ่น
การให้ความสำคัญกับยาต่อต้านไวรัส HIV มาเป็นสินค้าหลักในห้วงปัจจุบัน
ทำให้ JT มีลักษณะของการเป็นผู้ประกอบการ ที่มีสถานะแตกต่างจากผู้ประกอบการเวชภัณฑ์และยาอย่างสามัญรายอื่น
หากเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงขีดความสามารถของ JT ในการเป็นผู้วิจัยและคิดค้นให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
กระนั้นก็ดี ธุรกิจเวชภัณฑ์ และธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม ที่ JT มุ่งหมายจะสร้างให้เติบโตเป็นธุรกิจแกนหลักของกลุ่ม
ภายใต้ยุทธศาสตร์สามก้อนเส้าทางธุรกิจ (tri-pillar business strategy) เพื่อเป็นหลักในการร่วมสร้างความมั่งคั่งและแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ
นอกเหนือจากธุรกิจยาสูบที่เป็นรากฐานของกลุ่ม ดูเหมือนยังต้องอาศัยเวลาในการสั่งสมประสบการณ์
และการยอมรับจากผู้บริโภคอีกนานพอสมควร