Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2547








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2547
Deal of the Year             
โดย ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์
 

   
related stories

1 ปี 4 เดือน ก่อนขายหุ้น
ปัจจัยชี้วัดความสำเร็จ
100 กว่า Meeting ใน 2 สัปดาห์

   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกรุงไทย

   
search resources

ธนาคารกรุงไทย
เมอร์ริลลินช์ภัทร
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน
กระทรวงการคลัง
บรรษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท
ภัทร, บล.
บรรยง พงษ์พานิช
กิตติยา โตธนะเกษม
Banking




คงไม่เป็นเรื่องที่เกินเลยไปนัก หากจะยกกรณีการกระจายหุ้นของธนาคารกรุงไทย เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เป็น Deal of the Year เพราะนอกจากจะเป็น Deal การขายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ความสำเร็จของ Deal นี้ ยังมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหลายอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ และกระบวนการทำงานอย่างหนักของทีมผู้บริหารและที่ปรึกษาทางการเงิน ก็สามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาให้กับการ Underwrite หุ้นที่กำลังทำกันอย่างกลาดเกลื่อนอยู่ในขณะนี้

มีหลายเหตุผลที่ "ผู้จัดการ" กล้ายกให้กรณีที่คนส่วนใหญ่มองเห็นเป็นเพียง Privatization ธรรมดาๆ ให้เป็น Deal of the Year

กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และกระทรวงการคลัง ได้นำหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารกรุงไทย จำนวน 3,420 ล้านหุ้น ออกมาเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป ทั้งที่เป็นนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบัน ทั้งในและต่างประเทศ ในช่วงระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคม 2546

เป็นกระบวนการตามขั้นตอนการแปรรูปธนาคารกรุงไทย ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะได้ผล 2 ทาง 1-คือเป็นการเพิ่มจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของธนาคารกรุงไทยให้เพิ่มขึ้น และ 2-ลดภาระทางการเงินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่กำลังประสบปัญหาการขาดทุนอย่างหนัก จากการเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินหลายแห่งในช่วงหลังวิกฤติ

กรณีนี้ดูไปอาจดูเหมือนง่าย เพราะในช่วงที่กำลังมีการนำหุ้นออกมาขาย เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยกำลังเริ่มต้นขยับ ดัชนีราคาหุ้นได้เริ่มไต่ระดับจากที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงไม่เกิน 300 จุดในไตรมาสแรกของปี ขึ้นมายืนอยู่เหนือระดับ 500 จุด

แต่บรรยากาศการลงทุนโดยรวม ก็ไม่ได้มีผลโดยตรงกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อธนาคารกรุงไทย จากข้อมูลที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับธนาคารแห่งนี้ เพราะหากนักลงทุนไม่มีความเชื่อถือหุ้นจำนวนมากขนาดนี้ ก็คงไม่สามารถขายได้หมด... ก่อนที่จะมีการนำหุ้นออกมาขาย มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่น่าตกใจ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยก็คือแม้ธนาคารกรุงไทยจะเป็นธนาคารพาณิชย์ ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ แต่ในความรับรู้ของนักลงทุนต่างชาติ ข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารแห่งนี้มีน้อยมาก ตรงกันข้าม ข้อมูลที่มีอยู่กลับเป็นไปในด้านลบเป็นส่วนใหญ่

เหตุผลเพียงเพราะแม้ว่าธนาคารกรุงไทยจะเข้ามาจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเป็นเวลานานนับ 10 ปี แต่จำนวนหุ้นที่กระจายหมุนเวียนอยู่ในตลาดมีอยู่เพียง 8% ซึ่งไม่เข้ากับเกณฑ์ หรือคุณสมบัติของหุ้นที่จะอยู่ในบัญชีรายชื่อหุ้นที่น่าลงทุนของนักลงทุนสถาบันต่างชาติ ดังนั้นจึงไม่เคยมีสถาบันวิจัยใดๆ จัดทำบทวิเคราะห์หุ้นของธนาคารกรุงไทยออกมา เพื่อเป็นข้อมูลให้กับนักลงทุนเหล่านี้

"เปรียบไปเหมือนกับว่าเราไม่เคยอยู่ในรัศมี radar ของสถาบันเหล่านี้ เหมือนกับว่าหุ้นของเราอยู่ใน black box" กิตติยา โตธนะเกษม รองกรรมการผู้จัดการสายบริหารความเสี่ยง ธนาคารกรุงไทย บอกกับ "ผู้จัดการ"

ดังนั้น กระบวนการสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนสถาบันเหล่านี้ แสดงความสนใจจะซื้อหุ้นธนาคารกรุงไทย คือการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับธนาคารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันของทุกฝ่าย ทั้งผู้บริหารธนาคารและบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินคือ บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ริล ลินช์ ภัทร (ชื่อในขณะนั้น)

ส่วนคำถามที่ว่าทำไมต้องให้ความสำคัญกับนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะสถาบันจากต่างชาติ คำตอบคือเนื่องจากจำนวนหุ้นที่นำออกมากระจายขายมีเป็นจำนวนมากจน อาจเกินกว่ากำลังซื้อของนักลงทุนภายในประเทศจะรับไหว

และนักลงทุนภายในประเทศ ที่ถูกกำหนดไว้ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายให้เป็นผู้ซื้อหุ้นธนาคารกรุงไทย ก็ได้มีการกำหนดไว้ชัดเจนอีกชั้นหนึ่งว่า ต้องไม่ใช่คนที่มีพฤติกรรมเก็งกำไร หรือคนที่มีการลงทุนระยะสั้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่แล้ว

ก่อนที่จะมีการนำหุ้นของกระทรวงการคลัง และกองทุนฟื้นฟูฯ ออกมากระจายขาย ธนาคารกรุงไทยเป็นธนาคารที่มีหน่วยงานของรัฐถือหุ้นอยู่รวมกันถึง 91.8% เป็นส่วนของกองทุนฟื้นฟูฯ 87.23% หรือ 9,756.64 ล้านหุ้น กระทรวงการคลังอีก 3.75% หรือ 420 ล้านหุ้น เหลือหุ้นที่หมุนเวียนซื้อขายอยู่ในตลาดเพียงประมาณ 920 ล้านหุ้น หรือคิดสัดส่วนเพียง 8% เท่านั้น

ส่วนหุ้นที่กองทุนฟื้นฟูฯ และกระทรวงการคลังนำออกมาขาย จำนวน 3,420 ล้านหุ้น หากคำนวณตามราคาขายที่ได้ถูกกำหนดจากการทำ Book Building ที่หุ้นละ 8.50 บาท จะเป็นวงเงินสูงถึง 29,070 ล้านบาท และหากแปลงค่าเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ละ 39 บาท วงเงินที่จะมีการขายหุ้นครั้งนี้สูงถึง 745 ล้านดอลลาร์

เป็น Deal การขายหุ้นสถาบันการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียในช่วงนั้น

และใหญ่กว่า Deal การกระจายหุ้นบริษัทท่าอากาศยานไทย ซึ่งเป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจรายล่าสุด ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานนี้

"โจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่งของเราก็คือ หุ้นที่จะนำมากระจายในครั้งนี้มีจำนวนมากเป็น 4 เท่าของหุ้นที่มีการซื้อขายหมุนเวียนอยู่ในตลาด" บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ภัทร (ชื่อในปัจจุบัน) ให้ข้อสังเกต

การนำหุ้นจำนวนมากออกไปเสนอขายให้กับนักลงทุนที่ยังไม่รู้จัก หรือยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเจ้าของหุ้นนั้นอย่างเพียงพอในทางตรงข้าม ข้อมูลที่นักลงทุนเหล่านี้มี กลับเป็นข้อมูลด้านลบ จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของ บล.เมอร์ริล ลินช์ ภัทร ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเป็นอย่างยิ่ง...

เมอร์ริล ลินช์ ภัทร หรือ บล.ภัทรในปัจจุบัน เป็น 1 ในผู้เสนอตัวเข้ามาเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการกระจายหุ้นธนาคารกรุงไทย ในส่วนที่กองทุนฟื้นฟูฯ และกระทรวงการคลังนำออกมาขาย เมื่อปี 2545 โดยเริ่มเข้ามารับงานตั้งแต่เดือนมิถุนายน

หลังจากรัฐบาลมีนโยบายที่จะกระจายหุ้นธนาคารกรุงไทย กระแสข่าวเกี่ยวกับธนาคารแห่งนี้ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มีแต่ด้านลบ

คนส่วนใหญ่มองว่าธนาคารกรุงไทยเป็นรัฐวิสาหกิจ มีการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพ และต้องทำตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะการให้สินเชื่อแก่คนในระดับรากหญ้า ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงกับผลประกอบการในอนาคต

บรรยงเองก็ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่าในช่วงแรกที่เข้าไปรับงานนี้ใหม่ๆ โดยส่วนตัวก็มีความรู้สึกเช่นนั้นบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะในประเด็นแรก แต่เมื่อได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลของธนาคารกรุงไทยอย่างจริงจัง ก็พบว่าที่คนส่วนใหญ่คิดกัน ล้วนผิดทั้งหมด

"ธนาคารกรุงไทยขณะนั้น ถือเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีฐานะเงินทุนแข็งแกร่งที่สุด เพราะรัฐบาลได้ช่วยนำหนี้เสียเกือบทั้งหมดออกไปไว้ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท ทำให้เป็นธนาคารที่มีสัดส่วน NPL ต่ำที่สุด นอกจากนี้การบริหารงานก็ได้มีการปรับปรุงจนมีมาตรฐานไม่แตกต่าง และอาจดีกว่าธนาคารพาณิชย์เอกชนบางแห่ง"

ส่วนประเด็นที่มองกันว่าธนาคารกรุงไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลนั้น เขาปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง โดยยกเนื้อหาที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนให้ซื้อหุ้นธนาคารกรุงไทย ตั้งแต่เมื่อครั้งแรกที่มีการกระจายหุ้นก่อนนำธนาคารเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่ง บล.ภัทรได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการกระจายหุ้นครั้งนั้นด้วย

ในหนังสือชี้ชวนครั้งนั้นระบุไว้ชัดเจนว่า "รัฐสามารถใช้ธนาคารกรุงไทยเป็นเพียงพาหนะ (Vehicle) ของนโยบาย แต่ไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือ (Instrument) โดยตรง"

"ทุกคนก็ยึดตามนี้มาตลอด คือหากรัฐอยากให้ธนาคารกรุงไทยช่วยทำอะไร แต่ถ้าจะเป็นภาระต่อผู้ถือหุ้น รัฐต้องชดเชย เพราะผู้ถือหุ้นคนอื่นเขาไม่มี social obligation แต่รัฐมี"

ดังนั้นสิ่งที่ธนาคารกรุงไทยได้ทำมาในช่วงหลัง โดยเฉพาะเรื่องการให้สินเชื่อกับคนในระดับรากหญ้าที่คนยังเข้าใจว่าเป็นใบสั่งจากรัฐบาล จึงเป็นนโยบายที่มาจากฝ่ายบริหารของธนาคารเอง ที่มองเห็นช่องทางธุรกิจ

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่บล.ภัทรในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการกระจายหุ้นธนาคารกรุงไทย จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายที่จะเป็นคนเข้ามาซื้อหุ้น โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน

"เวลาเราเป็น underwriter หน้าที่เราก็คือ advise ลูกค้า ให้มีการจัดการภายในเรื่องบัญชี ตัวเลขให้เหมาะสม หน้าที่ที่ 2 คือเราเป็นตัวแทนนักลงทุน ไปตรวจสอบว่าที่ลูกค้าบอกนั้นเป็นจริง และครบถ้วน เข้าใจง่ายหรือไม่ ซึ่งอันนี้ก็คือ deal diligent คือทำหน้าที่แทนคนซื้อ ส่วนหน้าที่ที่ 3 คือหลังจากที่เราทำกระบวนการต่างๆ แล้ว เราก็จะเป็นผู้ที่ไป negotiate กับนักลงทุน เป็นตัวแทนธนาคารไปบอกกับนักลงทุนว่านี่คือข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว เราคิดว่า 1-ดี น่าซื้อ และ 2-น่าจะให้ราคาดีๆ หน่อย นั่นคือกระบวนการที่เรียกว่า book building" เขาอธิบาย

กระบวนการเหล่านี้ถือเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้การกระจายหุ้นของธนาคารกรุงไทยในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

(รายละเอียดโปรดอ่านล้อมกรอบ "1 ปี 4 เดือน ก่อนขายหุ้น")

จำนวนหุ้นธนาคารกรุงไทยที่นำมากระจายขาย 3,420 ล้านหุ้น ถูกกำหนดสัดส่วน ในช่วงแรกว่าจะขายให้นักลงทุนในประเทศ 60% ที่เหลืออีก 40% จึงขายให้นักลงทุนต่างประเทศ

แต่จากกระบวนการทำงานร่วมกันอย่างหนักของผู้บริหารของธนาคาร และบล.ภัทร ในการให้ข้อมูลกับนักลงทุน ทำให้มียอดจองซื้อเข้ามามากกว่าที่เสนอขาย ทั้งๆ ที่เป็นหุ้นล็อตใหญ่มาก

มีการประเมินกันว่ายอดเงินจองซื้อหุ้นธนาคารกรุงไทยที่มาจากนักลงทุนสถาบันภายในประเทศ มีไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท สูงกว่าเมื่อครั้งเปิดจองซื้อหุ้นบริษัท ปตท.กว่า 1 เท่าตัว

โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศจากที่เคยไม่รู้จัก หรือรับรู้เรื่องราวของธนาคารกรุงไทยในด้านที่ผิดๆ กลับมียอดจองซื้อเข้ามาอย่างล้นหลาม มากกว่าจำนวนหุ้นที่ไปเสนอขายถึง 3 เท่า ทำให้สัดส่วนการขายระหว่างนักลงทุนชาวไทยลดลงมาเหลือ 51% และขายให้นักลงทุนต่างชาติ 49%

หลังจากปิดการจองซื้อ และเริ่มจัดสรรหุ้นในวันที่ 13 ตุลาคม และหุ้นล็อตนี้ถูกนำเข้ามาซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ ราคาหุ้นธนาคารกรุงไทย ยังไม่เคยตกลงมาต่ำกว่าราคา 8.50 บาท ในทางกลับกันราคาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวแบบหวือหวา โดยมีการซื้อขายกันส่วนใหญ่ที่ระดับ 10-11 บาท สูงกว่าราคาหุ้นที่นำมากระจายขายโดยเฉลี่ยประมาณ 20%

จำนวนหุ้นที่มีหมุนเวียนในตลาด จากที่เคยมีอยู่แค่ 8% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 34% และนักลงทุนต่างชาติเริ่มให้ความสนใจเข้ามาหาซื้อหุ้นของธนาคารกรุงไทยในกระดานต่างประเทศ (KTB-F)

และจากที่เคยเป็นธนาคารขนาดใหญ่ อันดับ 2 ของประเทศ ที่ไม่เคยมีนักวิเคราะห์ โดยเฉพาะจากสถาบันต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมกิจการ (Company Visit) มาก่อน แต่หลังจากได้มีการกระจายหุ้นออกไปแล้ว ผู้บริหารของธนาคารต้องเริ่มให้การต้อนรับหรือรับสายโทรศัพท์จากนักวิเคราะห์ และตัวแทนนักลงทุนต่างชาติ ที่เดินทางมาพบ หรือโทรศัพท์เข้ามาเพื่อสอบถามข้อมูลบ่อยครั้ง

ล่าสุดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่ง บล.ภัทรได้ร่วมมือกับเมอร์ริล ลินช์ เชิญตัวแทนนักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศมาร่วมงาน Invester Conference ในประเทศไทย ผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย ก็ต้องไปร่วมประชุมกับนักลงทุนเหล่านี้ด้วย เพื่อเป็นการ Update ข้อมูล

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเปลี่ยนแปลงทางด้านดีที่ปรากฏขึ้นกับธนาคารกรุงไทย หลังประสบความสำเร็จกับการกระจายหุ้น..

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us