ล็อกซบิทพลิกบทบาทจากการทำธุรกิจเทรดดิ้ง เพราะกำไรเริ่มต่ำ แต่ยังไม่ทิ้ง มุ่งโฟกัสธุรกิจที่สร้างกำไรต่อเนื่องอย่างเอาต์ซอร์สซิ่ง
และการซ่อมบำรุงรักษา พร้อมประกาศลงทุนกว่า 150 ล้านบาทในการขยายกิจ การหลังนำเข้าไประดมทุนในตลาด
หลักทรัพย์ในอีก 2 เดือนข้างหน้า ส่วนรายได้รอบปีที่ผ่านมาทำได้ 3,377 ล้านบาท
ตั้งเป้าปีนี้โต 15%
นายพัลลภ นาคพิทักษ์ กรรม การผู้จัดการ และประธานกรรม การบริหาร บริษัท ล็อกซบิท
จำกัด (มหาชน) ในเครือล็อกซเล่ย์ เปิดเผยว่า ล็อกซบิทจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจจากเดิม
ที่เน้นเรื่องของการซื้อมาขายไปหรือ เทรดดิ้ง ไปสู่การทำธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่องอย่างเอาต์ซอร์สซิ่ง
และการซ่อมบำรุงรักษา เนื่องจากธุรกิจเทรดดิ้งปัจจุบันมีกำไรน้อย และมีการแข่งขันสูง
"เราอยากเพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจที่ทำรายได้ต่อเนื่องให้เป็นครึ่งต่อครึ่งกับเทรดดิ้งหรือมากกว่า
เพราะจะทำให้เราเหนื่อยน้อยหน่อย การทำเทรดดิ้งก็เหมือน กับชกมวย พอหมดยกก็เริ่มใหม่
นอกจากนี้ ยังแข่งขันกันสูง ต้องขายให้มีวอลุ่มมากขึ้น เพื่อจะให้มีมาร์จิ้นเลี้ยงบริษัทได้"
แม้ล็อกซบิทจะมุ่งเน้นธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่องเป็นหลัก แต่ยืนยันว่ายังไม่ทิ้งธุรกิจเทรดดิ้ง
เพราะความต้องการของลูกค้ามีตลอดเวลา ไม่มีบริษัทใดที่ใช้คอมพิวเตอร์แล้วขอลดมีแต่ซื้อเพิ่ม
แต่ถ้าจะทำให้ธุรกิจมั่นคงมากขึ้น ต้องปรับเปลี่ยนไปเป็นธุรกิจที่มีรายได้ต่อเนื่อง
สำหรับล็อกซบิทเป็นทั้งโฮลดิ้ง คอมปานี และโอเปอเรตติ้ง คอมปานี ที่โฟกัสในกลุ่มธนาคารและโทรคมนาคม
ส่วนบริษัทในเครือล็อกซบิทประกอบด้วย โปรเฟสชั่นแนล คอมพิวเตอร์ คอมปานี ซึ่งเป็นซิสเต็ม
อินทิเกรเตอร์ หรือเอสไอที่มุ่งเน้นตลาดราชการเป็นหลัก, บริษัท ล็อกซดาต้า ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับคอลล์
เซ็นเตอร์, บริษัท สเปซ อิมเมจจิ้ง เอส.อี.เอ. ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา
ด้วยธุรกิจ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับดาวเทียมถ่าย ภาพ, บริษัท
เอ็มโฟกัส ดำเนินธุรกิจด้านอีอาร์พี โซลูชัน และพอยต์ เอเชีย ที่มีบริษัทอยู่ในเครือ
อีก 3 บริษัทคือ เน็ตวัน เน็ตเวิร์ก ดำเนินธุรกิจด้านเน็ตเวิร์ก โซลูชัน, วอแร็กซ์
ดำเนินกิจการเกี่ยวกับเกม ออนไลน์ และซีเอส ล็อกซอินโฟ เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
หรือไอเอสพี
จากนโยบายดังกล่าวล็อกซ บิทจึงต้องเข้าไประดมทุนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
แต่เข้าในลักษณะของโฮลดิ้ง คอมปานี เพื่อนำเงินมาขยายกิจการประมาณ 150 ล้านบาท
และนำไปจ่ายหนี้ในบางส่วน โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
เป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ซึ่งจะมีการเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนจำนวน 100 ล้านหุ้น
ราคาพาร์ 1 บาท คาดว่าจะนำเข้าไปกระ-จายหุ้นได้ประมาณปลายเดือนเม.ย.หรือต้นพ.ค.นี้
การนำเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ จะทำให้ล็อกซบิท มีทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว
475.20 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 375.20 ล้านบาท และจะทำให้สัด ส่วนการถือหุ้นของล็อกซเล่ย์ลดลงจาก
78.6% เหลือ 62.08% กอง ทุนสยามอินเวสเม้นท์ ฟันด์ 2 ลดลงจาก 13.8% เหลือ 10.9%
และกลุ่มมิตซุยจาก 7.5% เหลือ 5.9%
ด้านผลการดำเนินงานในรอบ ปีที่ผ่านมา ล็อกซบิทมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,377 ล้านบาท
และตั้งเป้าไว้ว่าจะมีอัตราการโต 15% ต่อปีใน ช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
ล็อกซเล่ย์หวนคืนตลาดอินโดจีน
นายพัลลภกล่าวถึงการดำเนิน ธุรกิจของกลุ่มล็อกซเล่ย์ในต่างประเทศว่า ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ
กลุ่มล็อกซเล่ย์มีกิจการและสำนักงานในภูมิภาคอินโดจีนทุกประเทศ และหลังจากนี้กลุ่มล็อกซเล่ย์จะกลับมาทำธุรกิจในภูมิภาคนี้อีกครั้งหนึ่ง
เพราะเชื่อว่าลูกค้าต้องการความช่วยเหลือจากการเข้าไปลงทุนของล็อกซเล่ย์ เพื่อจะได้นำไปปรับใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ
ในแต่ละประเทศ
เสริมการ์ดพินโฟน 108
"สำหรับการได้รับสิทธิ์จากทศท คอร์ปอเรชั่นในการติดตั้งระบบโทรศัพท์พินโฟน
108 ปัจจุบันมีการขยายเครือข่ายการให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 9 โหนดทั่วประเทศ จำนวน
2,500 คู่สาย จากเดิมที่มีเพียง 1 โหนด 300 คู่สาย แต่ขณะ นี้ล็อกซบิทยังไม่มีแผนจะขยายโหนดเพิ่มขึ้น
แต่จะมุ่งเน้นการเพิ่มบัตรเป็นหลักทุกวันนี้แม้จะมีการใช้มือถือมาก แต่พินโฟนก็ยังมีผู้ใช้อยู่"
นายพัลลภ กล่าว