หุ้นตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่งของ"กลุ่มวีระพงษ์" เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
22 มี.ค.นี้ หลังระดมทุน 122 ล้านบาท เสร็จเรียบร้อย "ประภากร" เผยความคืบหน้าแผนงานขยายธุรกิจไปภาคตะวันออกจังหวัดชลบุรีเตรียมตั้งสาขาได้ในพ.ค.นี้ ตั้งเป้า หมายรายได้ทั้งปีโต 40% ส่วนอนาคตอาจมีแผนระดมทุนรอบสองเพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้
นายประภากร วีระพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน)
กล่าวถึงความคืบหน้าในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯว่า เมื่อวันที่
10-12 มี.ค. ได้เปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญจำนวน 20 ล้านหุ้น ที่ราคา 6.35
บาท ผ่านบริษัทจัดจำหน่าย หุ้นหรืออันเดอร์ไรเตอร์ 8 แห่ง โดยมีบริษัทหลักทรัพย์
กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำอันเดอร์ไรต์หุ้น
ทั้งนี้ หุ้นตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง ได้จำหน่ายให้กับนักลงทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยหุ้นจะ เข้าซื้อขายได้ในวันที่ 22 มี.ค.นี้ แม้ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ผันผวนก็ตาม
ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้บริษัทจะนำไปขยาย การให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง
จำนวน 122.3 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปี 47 นี้
ปัจจุบันบริษัทตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่งมีทุนจดทะเบียน 410 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์โดยมุ่งเน้นรถยนต์มือสอง
ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์เฉพาะรถตู้และรถกระบะที่ไม่ใช่รถยนต์รับจ้าง
โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 84 และร้อยละ 16 ของการให้สินเชื่อรวมตามลำดับ
โดยรถยนต์ที่บริษัทให้สินเชื่อส่วนใหญ่เป็นรถญี่ปุ่นและรถยุโรปที่มีราคาไม่สูงมากนักหรือเฉลี่ยประมาณคันละ
370,000 บาท ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย ได้แก่ โตโยต้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ
นิสสัน และเมอร์เซเดส เบนซ์ เป็นต้น ทั้งนี้ รถยนต์ที่บริษัทให้เช่าซื้อเกือบทั้งหมด
ด้านโครงสร้างรายได้ปี 46 แบ่งเป็นดอกผล จากการขายตามสัญญาเช่าซื้อที่รับรู้ร้อยละ
88.4 ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ รวมร้อยละ 11.55 โดยผลการดำเนินงานบริษัทมีกำไรสุทธิในปี
2544 เท่ากับ 25.79 ล้านบาท และลดลงเป็น 11.85 ล้านบาทในปี 2545 โดยกำไรสุทธิลดลงมาจากค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงิน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารรวมทั้งตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูงเพิ่มขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินงาน นายประภากร กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายธุรกิจไปในภาคตะวันออก
โดยเน้นปล่อยสินเชื่อระยะสั้นให้กับตลาดรถยนต์ หรือพวกเต็นท์รถยนต์แผนขยายไปภาคตะวันออกแถบจังหวัดชลบุรีบริเวณศรีราชาและแหลมฉบัง
เนื่องจากเป็นที่ที่มีนิคมอุตสาหกรรมมาก
โดยได้ส่งทีมการตลาดเข้าไปศึกษาตลาดแล้วพบว่า ในบริเวณดังกล่าวมีจำนวนเต็นท์รถยนต์เพิ่มขึ้น
คาดว่าการปล่อยสินเชื่อในต่างจังหวัดจะทำให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับในกรุงเทพฯ
ขณะเดียวกัน ได้เตรียมแผนเข้าไปทำธุรกิจแฟกตอริ่งโดยเข้าไปรับซื้อบัญชีลูกหนี้เป็นการให้สินเชื่อระยะสั้นแก่ผู้ประกอบการ
เอสเอ็มอี โดยแผนการเข้าไปทำธุรกิจในภาคตะวันออกดังกล่าวคาดว่าบริษัทจะสามารถไปเปิดสาขาของบริษัทซึ่งถือเป็นสาขา
2 ในตัวเมือง จังหวัดชลบุรีได้ในเดือนพ.ค.นี้
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะปล่อยสินเชื่อรถจักรยานยนต์ราคาแพง อาทิ ฮาร์เลย์ เป็นต้น
เนื่องเพราะมีความเสี่ยงน้อย แม้ตลาดรถจักรยานยนต์ดังกล่าวในปัจจุบันยังมีตลาดไม่ใหญ่มากนักก็ตาม
แต่เป็นการขยายให้บริการควบคู่กับกลุ่มลูกค้าเดิมที่เป็นลูกค้าเกรดเอ
ส่วนเป้าหมายรายได้ในปี 47 ได้ตั้งเป้าไว้จะเติบโต 40% โดยการระดมทุนเข้าตลาดหลัก
ทรัพย์ครั้งนี้มีจำนวนไม่มากเพียง 122 ล้านบาท เพราะต้องการทำให้บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ให้ได้ก่อน
ส่วนแหล่งเงินทุนจากธนาคารพาณิชย์มีวงเงินอยู่ 800-900 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการทำธุรกิจในปีนี้อยู่แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วบริษัทก็ได้วางแผนการในระยะต่อไปว่า
อาจจะระดมทุนเพื่อนำมารีไฟแนนซ์เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ แต่ทั้งนี้ต้องมาพิจารณาดูอีกทีว่าสถานการณ์ควรออกเป็นหุ้นกู้
หรือระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์รอบสอง
นายประภากร กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ การแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีการแข่งกันค่อนข้างรุนแรง
ซึ่งกลยุทธ์ก็ขึ้นอยู่กับการทำแผนการตลาด โดยบริษัทไม่เน้นแข่งด้าน อัตราดอกเบี้ยแต่เน้นเรื่องบริการ
ซึ่งบริษัทมีฐานลูกค้าค่อนข้างกว้างเนื่องจากทำธุรกิจมานาน 20 ปี โดยดูอัตราดอกเบี้ยควบคู่ไปด้วยว่าอยู่ใน
ระดับแข่งขันได้หรือไม่ "เราเน้นตลาดรถที่มีคุณภาพและเราก็ทำการตลาดตลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง
มีทีมมาร์เกตติ้งที่มีประสบการณ์มานาน ผมมองว่าธุรกิจลิสซิ่งนอกจากเรื่องของดอกเบี้ยที่จะส่งผลกระทบแล้วยังต้องรู้จักบริหารหนี้พอร์ตให้ดี
ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ได้"
สำหรับบริษัทตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19
เม.ย.46 จากการควบรวมกิจการของบริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด และบริษัท โปรเฟสชั่นแนลลีสซิ่ง
จำกัด โดยวันที่ 15 ก.ย.บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด มีผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มหลัก
ได้แก่ ตระกูลวีระพงษ์ ร้อยละ 59.83 และตระกูลตันตราภรณ์ ร้อยละ 22.30 ตระกูลถวิลเติมทรัพย์
ร้อยละ 3.96 ตระกูลเสถียรถิระกุล ร้อยละ 3.37 และตระกูลผ่องโสภา ร้อยละ 10.00