หุ้นเอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ (S-PAC) บริษัททำธุรกิจบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ เตรียมเข้าเทรดในตลาดหุ้น
30 มี.ค. นี้ ราคา 17 บาทค่าพี/อี 9 เท่า ขณะที่ กลุ่มบรรจุภัณฑ์ปัจจุบัน 11-12
เท่า ด้านบิซิเนส ออนไลน์เล็งขายหุ้น 1-2 เม.ย. บล.โกลเบล็กประเมินราคาเหมาะสม
4.42 บาท
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท เอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ จำกัด
(มหาชน) (S-PAC) คาดวานนี้ (15 มี.ค.) ว่า หุ้นบริษัทจะเริ่มซื้อขายในตลาดหลัก
ทรัพย์วันอังคารที่ 30 มี.ค.นี้ โดยจะอยู่กลุ่มบรรจุภัณฑ์
คาดว่าภายในปีนี้ บริษัทจะมีอัตราเติบโตกำไรไม่ต่ำกว่าอัตราเติบโต เศรษฐกิจ (จีดีพี)
ของประเทศไทย เนื่องจากธุรกิจบริษัทจะขยายตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจ บริษัทมี นโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า
50% ของกำไรสุทธิ ปี 2545 จ่ายเงินปันผล 1.50 บาทต่อหุ้น พาร์หุ้นละ 10 บาท
การขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัทครั้งนี้ น่าจะได้รับความสนใจ จากนักลงทุน
ซึ่งเชื่อมั่นว่า หุ้นที่เสนอขาย 14 ล้านหุ้นจะขายได้หมด เพราะการที่นักลงทุนสถาบันสนใจจองซื้อมากเกินกว่าที่บริษัทจัดสรร
ให้ถึง 4 เท่า
ด้านนายศิริพงษ์ สุทธาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด
(มหาชน) ในฐานะผู้รับประกันการจำหน่ายและผู้จัดจำหน่ายหุ้นบริษัท เอส.แพ็คฯ กล่าวว่าราคาขายไอพีโอ
กำหนดที่ 17 บาทต่อหุ้น จะจัดสรรให้ผู้ถือหุ้น เดิม 2 ล้านหุ้น จะเสนอขายภายใน
วันที่ 18-19 มี.ค.นี้
ราคาที่เสนอขาย 17 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาเหมาะสมค่า พี/อี ประมาณ 9
เท่า ขณะที่กลุ่มบรรจุภัณฑ์ ปัจจุบันประมาณ 11-12 เท่า ซึ่งถือว่าหุ้นตัวนี้น่าสนใจ
"การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะได้เงินจำนวน 238 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปลงทุนในการสร้างโรงงานผลิต
กล่องลูกฟูกแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อขยายกำลังผลิตกระดาษลูกฟูก เพื่อรองรับกับยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น
โดยคาดว่า กำลังการผลิตกระดาษลูกฟูกของบริษัท จะเพิ่มขึ้นเป็น 51 ล้านตารางเมตรต่อปี
ซึ่งจะรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้" นายศิริพงษ์กล่าว
นายจักรฤกษณ์ อุทโยภาศ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิกโก้ กล่าวว่าพื้นฐานของเอส.
แพ็คฯ สัดส่วนยอดขายจากกล่องพับแข็งปะลอนประมาณ 60% กระดาษลูกค้าฟูกธรรมดาประมาณ
20% กระดาษลูกฟู 10% ส่วนที่เหลือ เป็นรายได้จากอื่นธุรกิจๆ อีก 10%
"สำหรับยอดขายจากกล่องพับแข็งฯ ที่เป็นสัดส่วนของรายได้หลักนั้น จะมีอัตรามาร์จิ้นอยู่ที่ประมาณ
18% โดยที่ เอส.แพ็คฯ จะมีสัดส่วนยอดขายปีละ 500-600 ล้านบาท ซึ่งถือว่าติดอันดับ
1 ใน 3 ของประเทศ" นายจักรฤกษณ์กล่าว
บริษัทมีสัดส่วนยอดจำหน่ายภายในประเทศประมาณ 98% อย่างไร ก็ตาม ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัท
เป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออก บริษัทจึง เป็นผู้ส่งออกทางอ้อม (Indirect Exporter) ลูกค้าหลักบริษัท
เป็น ผู้ผลิตสินค้าใตลาดบน (Hi-end) และตลาดกลาง (Mid-End) อีก 2% จะส่งออก
สำหรับผลประกอบการบริษัทปี 2546 ช่วง 9 เดือนแรก บริษัทมีรายได้รวม 700 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 90 ล้านบาท แบ่งเป็น กำไรจากการดำเนินงาน 73 ล้านบาท ที่เหลือ เป็น กำไรจากรายการพิเศษ
ผลดำเนินงานปี 2545 บริษัทมีรายได้รวม 992 ล้านบาท กำไรสุทธิ 70.07 ล้านบาท
ด้านนางสาวชไมพร อภิกุลวณิช ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน)
(BOL) เปิดเผยว่าบริษัทจะเสนอขายหุ้น ต่อประชาชนทั่วไป 19.77 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้
(พาร์) หุ้นละ 1 บาท คาดว่าจะเสนอขายภายในวันที่ 1-2 เม.ย. คาดว่าหุ้นบริษัทจะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่
(MAI) ภายในวันที่ 27 เม.ย.นี้
บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ ดำเนินธุรกิจให้บริการข้อมูลธุรกิจครบวงจร โดยร่วมทุนกับบริษัท
Dun & Bradstreet องค์กรที่ก่อตั้งมา 160 ปี พร้อมฐานข้อมูล ด้านธุรกิจกว่า
80 ล้านบริษัท 214 ประเทศทั่วโลก
เงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปขยายธุรกิจ และปรับปรุงสินค้า ใหม่ เพื่อขยายฐานข้อมูลให้มีคุณภาพ
เพิ่มขึ้น
นางสาววิจันทร์ รัตนกิตติอาภรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ซีมิโก้
ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน กล่าวว่าขณะนี้ ยังไม่สามารถระบุได้ว่า บิซิเนส ออนไลน์
จะระดมทุนเท่าใด เนื่องจากต้องรอกำหนดราคาจองก่อน
หุ้นที่เสนอขายส่วนหนึ่ง จัดสรรให้พนักงาน และกรรมการบริษัท 4 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ
1 บาท หุ้นเหล่านี้ จะติดช่วงห้ามขาย (ไซเลนต์ พีเรียล) ไม่สามารถขายได้ช่วงแรกที่หุ้นเข้าซื้อขาย
เชื่อว่าหุ้น จะเสนอขายได้หมด เพราะจำนวนหุ้น ที่กระจายไม่มากนัก
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก คาดว่ารายได้ BOL ปี 2547-48 จะเพิ่ม
40-46% จากบริการใหม่ ได้แก่ ระบบ ATOM ซึ่งมีลูกค้าเป้าหมายเป็นสถาบันการเงิน
โครงการพิเศษ ได้แก่ การขายระบบ Bingo (ระบบฐานข้อมูลนิติบุคคล สำหรับการพิจารณาสถานภาพบริษัทคู่ค้า)
ไปประเทศเอเชีย
กำไรสุทธิ คาดจะขยาย 287% และ 99% ปี 2547-2548 แต่อัตราส่วนกำไรขั้นต้นต่อรายได้
คาดจะลดลงจาก 61% ปี 2546 เหลือ 56-58% เนื่องจากปีแรกๆ ระบบ ATOM จะมีต้นทุนให้บริการต่อรายได้สูงจากการต้องลงทุน
Hardware และการพัฒนาระบบ ซึ่งเป็นต้นทุนคงที่ (fixed costs)
บทวิเคราะห์ระบุว่า BOL มีความเสี่ยงต่อรายได้ หากมีบริษัทเอกชนอื่น หรือกรมพัฒนาธุรกิจการ
ค้า และกรมบังคับคดี ซึ่งเป็นเจ้าของ ฐานข้อมูลที่บริษัทใช้อยู่ ให้บริการข้อมูลเอง
อย่างไรก็ดี คู่แข่งรายใหม่ ต้องลงทุนระบบเครือข่าย และบุคลากร ที่มีประสบการณ์ด้านนี้
ระยะ สั้น จึงมีโอกาสน้อย ที่จะเกิดคู่แข่ง รายใหม่ที่สามารถแข่งกับบริษัทได้
การประเมินราคาเหมาะสม คำนวณราคาหุ้น BOL ตามปัจจัยพื้นฐาน 4.42 บาท โดยใช้ PER
13 เท่า และกำไรต่อหุ้นปี 2547 ที่ 34 สตางค์