"กมล" บิ๊กไมด้า-นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้น เตรียมเข้าเทกโอเวอร์กิจการต่างชาติ
1 แห่งหลังบริษัทแม่ในอเมริกาประสบปัญหา แถมจ้องเทกฯบริษัทนอก ตลาดอีก 2 แห่ง เผยก่อนหน้านี้กวาดหุ้น
VIBHA, DISTAR และ FNS เข้าพอร์ตเป็นการลงทุนส่วนตัว ขณะที่ MIDA ปีนี้ตั้งเป้ารายได้
4 พันล้านบาท ส่วนไมด้าลิสซิ่งเข้าตลาด แน่ต.ค.นี้เพิ่มมาร์เกตแคปเป็น 2 หมื่นล้านบาท
นายกมล เอี้ยวศิวิกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ
MIDA เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปซื้อกิจการหรือเทกโอเวอร์บริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่บริษัทแม่ในอเมริกาจะมีปัญหาในเรื่องหนี้เสีย
(เอ็นพีแอล) โดยจะเข้าไปดำเนินการในลักษณะปรับโครงสร้างหนี้
โดยคาดว่าจะใช้เงินในการลงทุนครั้งนี้ประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวได้มาจากการกู้เงินจากธนาคารกสิกรไทยและสถาบันการเงินอื่นๆ
โดยคาดรู้ผลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า "ธุรกิจที่จะเข้าไปเทกโอเวอร์เป็นบริษัทประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับ
MIDA การเข้าเทกฯบริษัทดังกล่าวเนื่องจากบริษัทแม่มีปัญหาที่สหรัฐอเมริกามีปัญหาเรื่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล
แต่ภายหลังได้มีผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาดูแล และบริหารหนี้เสีย เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ใหม่"
นายกมลกล่าว
นายกมล กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่สำเร็จก็ได้
นอกจากนี้ยังได้มีแผนเข้าเทกโอเวอร์กิจการนอกตลาดหลักทรัพย์ฯอีกประมาณ 2-3 บริษัท
เนื่องจากตัวบริษัทมีปัญหาทางด้านการปรับโครงสร้างของบริษัทประกอบกับเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจในลักษณะใกล้เคียงกัน
ขณะที่ MIDA เองดำเนินธุรกิจให้เช่าซื้อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ
ส่วนกรณีการลงทุนในหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด(มหาชน) หรือ FNS,
บมจ.ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น หรือ DISTAR และบริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด(มหาชน)
หรือVIBHA นายกมล กล่าวว่า การลงทุนดังกล่าวนั้นเป็นการลงทุนโดยใช้เงินส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับเงินลงทุนของบริษัทแต่อย่างใด
โดยการลงทุนดังกล่าวจะเข้าไปในลักษณะเข้าเป็นคณะกรรมการ หรือการลงทุน เป็นต้น
อาทิ การลงทุนใน VIBHA นั้นตนจะเข้าไปนั่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลสามารถเติบโตสูง
และกำลังมี แผนที่จะเปิดศูนย์ความงามร่วมกับทางโรงพยา-บาลวิภาวดี โดยเป็นลักษณะการเปิดตัวบริษัทใหม่
ซึ่งคาดว่าจะเปิดสาขาที่โรงภาพยนตร์อีจีวี 1 แห่งและที่โรงพยาบาลวิภาวดีอีก 1 แห่ง
โดยรายได้ที่เกิดจากการลงทุนจะเป็นรายได้ส่วนตัว
"การเข้าซื้อหุ้น FNS และ DISTAR ถือว่าเข้าซื้อหุ้นตามปกติ เหมือนนักลงทุนทั่วไป
ไม่ได้หวังที่จะเข้าไปร่วมกิจการแต่อย่างใด แต่หาก DISTAR ขอเข้ามาเจรจาพูดคุยทางบริษัทก็จะรับไว้พิจารณา"
นายกมลกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัท ไมด้า ลิสซิ่ง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือหลังจากนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ในช่วงตุลาคม
2547 นั้น จะทำให้มูลค่าตลาดโดยรวม(มาร์เกตแคปส์) เพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 ล้านบาท
ซึ่งปัจจุบัน MIDA มีมาร์เกตแคปส์อยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้นประมาณสิ้นเดือนกันยายน
และคาดว่าในปีนี้บริษัทไมด้าลิสซิ่ง จะมีกำไร 100 ล้านบาท
นายกมล เปิดเผยว่า ตั้งเป้ารายได้ MIDA ไว้ประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเติบโต 36%
จากปี 2546 ที่มีรายได้ประมาณ 2,844.66 ล้านบาท สาเหตุที่มีการเติบโตสูงเนื่องจากสิ้นปีนี้จะมีสาขา
ครอบคลุมทั่วประเทศ 200 สาขา จากปัจจุบันมี 170 สาขา จะทำให้บริษัทฯสามารถกระจายสินค้าประเภทสินค้าไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้เพิ่มขึ้น
สำหรับฐานลูกค้าของบริษัทฯมีสถานะทางการเงินอยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาทคาดว่าสถานะทางการเงินของลูกค้าจะเติบโตสูงขึ้นในปีนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 995 ล้านบาท