เอส. แพ็ค แอนด์ พริ้นท์เซ็นสัญญาตั้งโบรกเกอร์อันเดอร์ไรต์หุ้นวันนี้ (15 มี.ค.)
บ.ซิกโก้ แอ็ดไวเซอรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เคาะราคาจองที่หุ้นละ 17 บาท เสนอขายวันที่
18-19 มีนาคม พร้อม กับเอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ขณะที่ซิกโก้แอ็ดไวเซอรี่ เตรียมดันอีก
2 บริษัทต่อคิวเข้าตลาดหุ้นเป็นรายต่อไป
นายพงศกร เที่ยงธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัทซิกโก้ แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินหุ้นบริษัท
เอส. แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้กำหนดราคาจองหุ้นบริษัทเอส.แพ็ค
แอนด์ พริ้นท์แล้วที่ระดับราคาหุ้นละ 17 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ได้สำรวจความต้องการซื้อ
ของนักลงทุนสถาบันแล้วและพบว่านักลงทุนให้ความสนใจเกินกว่า 10 เท่า โดยหุ้นจะเสนอขายภายในวันที่
18-19 มี.ค.2547 นี้ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เสนอขายหุ้นบริษัทเอ็น.ซี.เฮาส์ซิ่ง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะขายพร้อมกันแต่เชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อการขายหุ้น เพราะขนาดที่กระจายไม่ใหญ่มากนัก
รวมถึงทั้ง 2 บริษัททำธุรกิจที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ บริษัทเอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนจำนวน 14 ล้านหุ้นโดยจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม
2 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท ซึ่งจะได้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน
238 ล้านบาท โดยในวันนี้ (15 มี.ค.) เวลา 10.00 น. บริษัทเอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์
จะลงนามสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่โรงแรมแกรนด์
ไฮแอท เอราวัณ
สำหรับบริษัท เอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกล่องกระดาษพับแข็ง
กล่องกระดาษพับแข็งปะลอนกล่องลูกฟูก และรับจ้างพิมพ์หนังสือสื่อสิ่งพิมพ์ ก่อตั้งขึ้นในปี
2525 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาทในนามบริษัท ฉลองรัตน จำกัด โดยครอบครัวลีนุตพงษ์
เพื่อดำเนินธุรกิจรับจ้างพิมพ์สื่อสิ่งพิมพ์และผลิตกล่องพิมพ์พาณิชย์
บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 100 ล้านบาทและแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี 2537
และย้ายไปตั้งโรงงานที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจ
การระดมทุนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินประมาณ 180 ล้านบาท ไปลงทุนในโครงการสร้างโรงงานผลิตกระดาษลูกฟูกแห่งใหม่
โดยแบ่งเป็นที่ดินสำหรับก่อสร้างโรงงานใหม่ 40 ล้านบาท, อาคารโรงงาน 60 ล้านบาท,
เครื่อง จักร 80 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียน 30 ล้านบาท "จะนำไปใช้ลงทุนในโครงการสร้างโรงงานผลิตกระดาษลูกฟูกลอนใหญ่
แห่งใหม่ในเขตกรุงเทพฯเพื่อขยายกำลังการผลิตกระดาษ ลูกฟูก ซึ่งจะรองรับกับยอดการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น"
นายพงศกรกล่าว
ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้การจำหน่ายบรรจุ-ภัณฑ์ของบริษัท เอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์
จำกัด (มหาชน) สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.46 เป็นดังนี้ กล่องพิมพ์ออฟเซต 38.50%, กล่องลูกฟูก
37.19%, รับจ้างพิมพ์ 15.89%, วัตถุดิบ 8.42%, โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อยงวดสิ้นสุด
30 ก.ย.46 มีกำไรสุทธิ 90.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.95 ล้านบาท จาก 64.07 ล้านบาทในงวดสิ้นสุด
วันที่ 30 ก.ย.45
ขณะที่สินทรัพย์รวมของบริษัทฯและบริษัทย่อย ณ 30 ก.ย.46 มีมูลค่า 822.24 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 7.61 ล้านบาท จากมูลค่าสินทรัพย์ รวม ณ สิ้นปี 45 ซึ่งมีมูลค่า 814.63
ล้านบาท
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธ.ค.46 ประกอบด้วย กองทุนเพื่อการร่วมลงทุน
(Thailand Equity Fund) ถือจำนวน 14 ล้านหุ้น หรือ 29.17% กลุ่มนายยุทธ ชินสุภัคคกุล
ถือจำนวน 6.88 ล้านหุ้น หรือ 14.33% กลุ่มลีนุตพงษ์ ถือจำนวน 4 ล้านหุ้น หรือ 6.67%
บ.อีโตชู แมนเนจเมนท์ (ประเทศไทย) ถือจำนวน 4 ล้านหุ้น หรือ 6.67% บ.สหกิจบรรจุภัณฑ์
จำกัด ถือจำนวน 3.784 ล้านหุ้น หรือ 7.89% บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
(บบส.) ถือจำนวน 3 ล้านหุ้น หรือ 6.25%
นายพงศกรกล่าวต่อว่า ภายหลังจากที่บริษัท ซิกโก้ แอ็ดไวเซอรี่ นำหุ้นบริษัทเอส.แพ็ค
แอนด์ พริ้นท์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วบริษัทต่อมาจะนำบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านอัญมณีและบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์
ซึ่งเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีโดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI)
โดยจะยื่นแบบรายการแสดงข้อมูล(ไฟลิ่ง)ภายในปลายเดือนนี้ และคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นได้ในช่วงปลายเดือนพ.ค.หรือต้นมิ.ย.นี้
นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นที่ปรึกษาทางการเงินหุ้นบริษัทยานภัณฑ์ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
โดยคาดว่าจะระดมทุนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท