เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวในระดับบอบบาง ความเสี่ยงเศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวเพิ่มสูงขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนจึงคงเป็นแบบอนุรักษ์
เน้นลงทุนในหุ้นที่ผันผวนกับเศรษฐกิจต่ำ ส่วนตราสารหนี้เน้นลงทุนระยะสั้น
สิ่งที่คู่กับการลงทุน คือ ความเสี่ยง เมื่อเข้าไปลงทุนเท่ากับว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางความสว่าง
และความมืดว่าจะได้รับผลตอบแทนหรือขาดทุนมากน้อยเพียงใด เพราะการลงทุนแต่ละประเภทจะมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป
คำถามก็คือรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
ขณะนี้กองทุนรวมกำลังเป็นจุดสนใจในสายตานักลงทุนที่เล็งเห็นว่า เป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนน้อยกว่าการลงทุนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากในปัจจุบัน อีกทั้งนักลงทุนยังได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี
สภาพคล่องและการกระจายความเสี่ยง
ภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมในปีที่ผ่านมาจนถึงไตรมาสแรกปีนี้ บลจ.หลายแห่งได้เสนอกองทุนใหม่ๆ
ออกมาโดยเน้นหนักไปที่กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งตลาดผู้ออมให้การต้อนรับค่อนข้างดีในแง่ของยอดขายหน่วยลงทุน
แต่ก็ถือว่ายังไม่ดีเท่าที่ผู้ออกกองทุนอยากจะให้เป็น
อุปสรรคที่บรรดาผู้จัดการกองทุนรวมมองเห็น คือ จำนวนหน่วยลงทุนที่บริษัทต้องการจะขาย
แยกเป็นตราสารหนี้ซึ่งมีน้อยมากในตลาด แม้จะมีพันธบัตรรัฐบาล, พันธบัตรของกองทุนฟื้นฟู,
ตั๋วเงินคลัง แต่ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลมีการแกว่งตัวมาก
กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสัดส่วน 50-100% ของพอร์ตจะได้รับผลกระทบ
จะเห็นว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิมีการแกว่งตัวหวือหวา หรือไม่ก็ไถ่ถอนเงินไปเข้ากองทุนอื่น
มาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ชี้
สำหรับสิ่งที่ไม่มี คือ ตราสารหนี้ของเอกชน ถึงแม้จะเริ่มมีออกมาในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแต่การกระจายการจัดจำหน่ายส่วนใหญ่
จะอยู่ในมือบริษัทประกันชีวิตและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะเป็นกลุ่มนักลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนคงที่
เช่น บริษัทประกันชีวิตที่มีการค้ำประกันผลตอบแทนให้กับผู้ถือกรมธรรม์ที่
5-6%
ลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทน 5% ถือว่าสอดคล้องกัน และบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มองว่าการจัดสรรให้บริษัทประกันชีวิต
และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งลงทุนระยะยาวตลอดอายุของหุ้นกู้ ราคาหุ้นกู้จะไม่แกว่งตัวมากเพราะความต้องการซื้อกับความต้องการขายในตลาดลงตัว
มาริษกล่าว
ด้านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ราคาไม่มีการแกว่งตัวหวือหวา
ทำให้มีความต้องการตราสารหนี้ที่มีคุณภาพและจ่ายเงินปันผลระดับ 5-6% และสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เงินเดือนจะเพิ่มขึ้นทุกปี ขนาดของกองทุนจะมีมูลค่าสูงขึ้น ความต้องการตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่บริษัทกองทุนรวมจะได้มาไม่มากนัก ทำให้เกิดปัญหาในส่วนที่จะออกกองทุนตราสารหนี้กองทุนใหม่ๆ
หรือกองทุนเก่าถ้าได้รับเงินลงทุนใหม่ เข้ามาการไปหาซื้อตราสารหนี้เข้ามาในพอร์ตมีความลำบากพอสมควร
ปัญหาเหล่านี้บรรดาผู้จัดการกองทุนเชื่อว่ารัฐบาลมองเห็นแต่คงแก้ปัญหาได้ค่อนข้างช้า
สิ่งที่ผู้จัดการกองทุนอยากเห็น คือ มีการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
(Securitization) เพื่อขายให้ผู้ลงทุนอื่น ที่มีการพูดกันมานาน หากมีผลิตภัณฑ์นี้ออกมาจะมีตราสารเงินกู้ระยะสั้นออกมาได้ด้วย
ซึ่งจะสร้างตราสารหนี้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในตลาด มาริษชี้ ทำให้การบริหารพอร์ตลงทุนทำได้ดีขึ้นในแง่ความเหมาะสมของเงินลงทุนกับอายุตราสารหนี้
เมื่ออัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดมีการปรับตัวขึ้นจากปัจจุบัน
หมายความว่าทุกบลจ.ต้องปรับกลยุทธ์การบริหารกองทุนโดยทำให้อายุของพอร์ตลงทุนมีอายุสั้นลง
วิธีการ คือ หาตราสารหนี้ที่อายุสั้นเข้ามา หากมีตราสารหนี้ประเภท Securitization
หรือตราสารเงินกู้ระยะสั้นเข้ามาใส่พอร์ต
สำหรับตราสารหนี้ที่จะจัดสรรให้กับนักลงทุนรายย่อย สถาบันการเงินที่ทำหน้าที่รับประกันการจัดจำหน่ายจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ให้นักลงทุนรายย่อย
แต่นักลงทุนรายย่อยที่ซื้อตราสารหนี้โดยตรงต้องซื้อขั้นต่ำ 10 ล้านบาทขึ้นไป
ทำให้มีข้อจำกัดในด้านเงินลงทุน ทางออก คือ การออมเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ซึ่งไม่ใช่ทางเลือกของนักลงทุนโดยแท้จริง
เกิดคำถามตามมาว่า ปัจุบันจำนวนนักลงทุนผ่านกองทุนรวมมีไม่มาก ซึ่งเป็นปัญหาด้านความต้องการซื้อของกองทุนรวม
ผู้ฝากเงินวันนี้ไม่เข้าใจในเรื่องของกองทุนรวมอย่างจริงจัง พวกเขามองว่ากองทุนเหมือนกับการฝากเงินหรือการเล่นหุ้น
มาริษบอก
ความจริงแล้วกองทุนรวมเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของคนที่มีรายได้ และมีส่วนเกินสำหรับเก็บออม
ปัญหาของนักลงทุนไทย คือ ไม่รู้จักจัดการบริหารเงินเพราะไม่เคยได้เรียนรู้ตั้งแต่ระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัย
ต่างจากต่างประเทศที่มีการให้ความรู้เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน โดยมีการจัดการหลังหักค่าใช้จ่ายประจำวันแล้ว
จะต้องเก็บเงินสดเท่าไร
กรณีนักลงทุนขาดความรู้ มองได้ 2 ด้าน คือ ไม่มีใครเข้าไปอธิบายให้เข้าใจ
หากย้อนกลับไป ดูต้นกำเนิดของการเกิดอุตสาหกรรมกองทุนรวมต่อเนื่อง จากการที่ประเทศไทยเปิดเสรีทางการเงินเพียง
1 ปี จากนั้นเศรษฐกิจได้เติบโตถึงขีดสุดพร้อมๆ กับการเปิดเสรีธุรกิจกองทุนรวม
เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ราคาหุ้นวิ่งผลตอบแทนก็ตามมา ถึงแม้นักลงทุนจะไม่มีความรู้สำหรับการลงทุนในกองทุน
แต่เมื่อทุกคนไม่รู้จักคำว่าขาดทุนก็เพียงพอแล้ว
แต่เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ดัชนีหุ้นไทยตกจาก 1700 จุดลงมาเรื่อยๆ จนเกิดการขาดทุน
ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ต่อหน่วยลงทุนลดลงฮวบฮาบ ทุกคนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการลงทุนในกองทุนรวม
อีกด้านหนึ่ง ธุรกิจกองทุนรวมไทยเพิ่งเกิดมาไม่ถึง 10 ปี ขณะที่ธุรกิจดังกล่าวในต่างประเทศกำเนิดมาก่อนประเทศไทยมีการปฏิวัติการปกครองช่วงปี
2475 การลงทุนในหุ้นหรือการลงทุนในกองทุนหุ้น ต้องเป็นการลงทุนระยะ 5-10
ปีอย่างน้อย ถึงจะมีกำไรเพราะการแกว่งตัวของราคาหุ้นโดยเฉลี่ยจะลดลง หากลงทุนระยะสั้น
โอกาสขาดทุนก็มีสูง เพราะอัตราเฉลี่ยของการแกว่งตัวด้านราคาหุ้นจะสูง
ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่มีเฉพาะอุตสาหกรรมกองทุนรวมเท่านั้น ในวงการโบรกเกอร์เองก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน
เพราะเจ้าหน้าที่การตลาด (Marketing) ไม่ได้ไปชี้แจงให้นักลงทุนที่ต้องการเล่นหุ้นหรือต้องการซื้อหน่วยลงทุนเข้าใจอย่างถ่องแท้
ว่าลักษณะการลงทุนของแต่ชนิดมีความต่างกันอย่างไร
นอกจากนี้ ดีมานด์และซัปพลายเป็นอุปสรรคของกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนหุ้นซึ่งแทบจะไม่มีนักลงทุนสนใจเลย
รวมไปถึงหุ้นก็มีจำนวนจำกัดและพื้นฐานหุ้นเป็นไปตามเศรษฐกิจ
อีกปัญหาหนึ่งของกองทุนหุ้นและกองทุนตราสารหนี้ คือ ตราสารที่มีลักษณะซับซ้อน
เช่น สัญญาให้สิทธิ์อีกฝ่ายหนึ่งต้องซื้อหรือขายตามเงื่อนไขภายในระยะเวลาที่กำหนด
หรือ option ไม่ใช่ว่าจะไปเก็งกำไร แต่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงได้
ถ้ามีการทำที่ถูกต้องให้เกิดความเข้าใจกันทั้งกองทุนและนักลงทุน ก็สามารถออกมาในรูปแบบของกองทุนที่มีความหลากหลาย
แต่ตลาดทุนไทยยังไม่มี มาริษกล่าว