ทิปโก้ฟูดส์เร่งหาพันธมิตรร่วมทุนทำธุรกิจใหม่ คาดได้ผลสรุปภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วย
หนุนยอดปีนี้เติบโตต่อเนื่องอีก 14% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.6 พันล้านบาท พร้อมทั้งออกสินค้าใหม่เพิ่มเติม
เตรียมรุกตลาดน้ำผลไม้ในโรงเรียน โดยบริษัทฯตั้งเป้ารายได้แตะ 5 พันล้านบาท ในอีก
5 ปีข้างหน้า
นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน)(TIPCO) เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรร่วมทำธุรกิจใหม่
ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปีนี้ โดยที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการเจรจาร่วมกับพันธมิตร
2 ราย โดย เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 1 ราย และอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯอีก
1 ราย ซึ่งการร่วมพันธมิตรดังกล่าวอาจเป็นการเข้าถือหุ้นเพียงบางส่วนหรือถือหุ้นเต็ม
100% แต่บริษัทฯจะต้องมีอำนาจในการบริหารงานด้วย ดีลนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 200-300
ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำการเจรจากับทาง บริษัทต่างชาติเพื่อรับทำหน้าที่ในการผลิตเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้
โดยจะทำตลาดทั้งในและนอกประเทศด้วย คาดว่าหากทุกอย่างเสร็จตามเป้า แล้วจะช่วยเพิ่มยอดขายรายได้
และส่วนแบ่งทาง การตลาดเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งยังอยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อที่จะนำน้ำผลไม้รุกเข้าไปขายในโรงเรียน
แต่ก็ยังติดอยู่ที่ว่าราคาน้ำผลไม้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับราคาน้ำอัดลม แต่บริษัทก็พยายามที่จะหาวิธีในการลดต้นทุนให้ต่ำที่สุดคือไม่เกินราคาขวดละ
5 บาท
"การหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ทางบริษัทจะเน้นหาผู้ร่วมทุนที่ประกอบธุรกิจในลักษณะใกล้เคียงกัน
ซึ่งทางบริษัทอาจจะเข้าไปถือหุ้น 100% หรือเข้าไปร่วมทุนก็ได้ หรือเข้าไปเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการจะขยายฐานตลาดในประเทศ
แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจาโดยผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่เจรจาอยู่ มีทั้งบริษัทที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ"
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตมากกว่า 14% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย
2.6 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 297.6 ล้านบาท สอดคล้องกับมีนโยบายที่จะรักษาการเติบโตของธุรกิจแต่ละปีไม่ต่ำกว่า
14% โดยปีนี้ บริษัทฯหันมาเน้นขยายตลาดเครื่องดื่มภายในประเทศมากขึ้น โดยจะลงทุนสร้างแบรนด์ใหม่ให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ
โดยเฉพาะในแถบอาเซียน โดยปีนี้บริษัทฯจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 ชนิด และเพิ่มความหลากหลาย
ของรสชาติเครื่องดื่มอีก 7 ชนิด และเปิดสาขาย่อย เพิ่มอีก 7-10 สาขา เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขายในประเทศมากขึ้น
รวมถึงการรุกตลาดใหม่ในต่างประเทศ โดยบริษัทฯจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 500
ล้านบาท
รวมทั้ง บริษัทฯจะมีการปรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทใหม่เป็นรายได้จากการส่งออก
60% จากเดิม 66% การขายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิม 34%
นอกจากนั้น บริษัทยังได้ว่าจ้างที่ปรึกษา ทางการเงิน เพื่อให้ศึกษาโครง สร้างทางการเงินและแผนการระดมทุนของบริษัทว่าจะดำเนินการเพิ่มทุน,
กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน หรือใช้เงินสดในมือ เนื่องจากบริษัทฯมีแผนงานในระยะ
5 ปี (2545-2549) ที่จะขยายยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท ทำให้การลงทุน ระยะยาวจำเป็นต้องใช้เงินทุนประมาณ
500-1,000 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดการลงทุน