ซีอาร์ซีเดินหน้าซื้อหุ้นท็อปส์คืน 100% จากกลุ่มรอยัลเอโฮลด์ หลังสูญเสียโอกาสธุรกิจอาหารไป
6 ปี หวังต่อยอดและสร้างศักยภาพธุรกิจ ยืนยันไม่เปลี่ยนชื่อท็อปส์และไม่เปลี่ยนทีมบริหารเดิม
ดันรายได้เติบโตกว่า 50% เป็น 60,000 ล้านบาท จากแผนเดิมโตแค่ 12%
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น
จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยว่า ขณะนี้ซีอาร์ซีได้เข้าซื้อหุ้นจากรอยัลเอโฮลด์ในบริษัท
ซีอาร์ซี เอโฮลด์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจท็อปส์ซูเปอร์ มาร์เก็ตในไทย ส่งผลให้ซีอาร์ซีเป็นผู้ถือหุ้น
100% ในท็อปส์เรียบร้อยแล้วหลังจากที่ได้มีการเจรจาซื้อขายหุ้นมาระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ทีมบริหารและพนักงานกว่า 6,000 คน รวมถึงโครงสร้างองค์กรของท็อปส์และแผนการลงทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันใกล้นี้
ซึ่งนายแรนดี้ กัตเตอรี่ ดำรงตำแหน่งประธานบริหารเหมือนเดิม และจะยังไม่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนที่มีอยู่เดิม
1,500 ล้านบาท เพราะผลประกอบการ ที่ผ่านมาดี และแทบจะไม่มีหนี้สินเลย แต่คงต้องมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทให้เหมาะสม
ส่วนชื่อท็อปส์นั้นยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านั้นธุรกิจซูเปอร์มาร์เกตเป็นของ ซีอาร์ซี เมื่อปี 2539 รอยัลเอโฮลด์เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทร่วมกันคือ
ซีอาร์ซีเอโฮลด์ โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50% ต่อมาในปี 2541 ซีอาร์ซีขายหุ้นทั้งหมดให้กับบริษัทรอยัลเอโฮลด์
จึงเท่ากับว่า ซีอาร์ซีไม่มีธุรกิจซูเปอร์มาร์เกตหรือธุรกิจอาหารอยู่ในมือนับตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันที่ได้กลับเข้าไปเป็นเจ้าของ
อีกครั้งหนึ่ง จึงเท่ากับว่า ซีอาร์ซีสูญเสียโอกาสทางธุรกิจฟู้ดไปนานเกือบ 6 ปีทั้งๆที่เป็นธุรกิจที่ทำเงินมากด้วย
ส่วนกรณีที่ซีอาร์ซีจะเข้าซื้อหุ้นในบิ๊กซีคืนกลับมาจากกลุ่มกาสิโนหรือไม่นั้น
นายทศอธิบายว่า ขึ้นอยู่กับทางเจ้าของที่จะเป็นผู้ขายว่าจะขายหรือไม่ เหมือนกับกรณีของที่ได้เสนอมายังซีอาร์ซีซึ่งเป็นพันธมิตรและเจ้าของเดิมจึงเจรจาและตกลงกันได้
สาเหตุหลักที่ซีอาร์ซีรุกธุรกิจอาหารหรือซูเปอร์มาร์เกตนี้อีกครั้ง ทั้งๆที่
นายทศ เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ซีอาร์ซีจะมุ่งเน้นธุรกิจนที่ไม่ใช่อาหารหรือนอนฟูด
(non food) คือค้าปลีกเป็นหลัก เนื่องจากว่า ยอดรวมของธุรกิจโมเดิร์นเทรดในไทย
ธุรกิจของฟูด เติบโตรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2546 มีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 45%
ของยอดขายรวมโมเดิร์นเทรดและประเมินกันว่า ตลาดกลุ่มนี้จะเติบโตเท่าตัวภายในปี
2553
"ธุรกิจค้าปลีก ฟูดกับนอนฟูดมันต้องอยู่ด้วยกัน เมื่อเรามีทั้งคู่ตอนนี้ถือเป็นการซินเนอร์ยี่
(synergy) ที่ดีเหมือนกับ 1+1 เท่ากับ 3 อีกทั้งยังเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกของซีอาร์ซีด้วย
เพราะจะมีทั้งสองส่วนคือทั้ง ค้าปลีกที่เป็นฟูดกับนอนฟูด ที่ไม่ใช่อาหาร และจะเป็นฐานที่มั่นในการสร้างศักยภาพและโอกาส
ที่จะขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศด้วยและเพิ่มศักยภาพ ของกลุ่มที่จะเป็นที่หนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต
เพราะหากลำพังมีเพียงส่วนเดียวก็จะไม่แข็งแกร่งเพียงพอ"
นายทศกล่าวต่อว่า การที่ซีอาร์ซีขยายธุรกิจกลับสู่ซูเปอร์มาร์เกตจะทำให้ประมาณการยอดรายได้รวมของกลุ่มปี
2547 นี้ มากกว่า 60,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 50% จากยอดรายได้ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ตั้งเป้ารวมปีนี้ไว้เพียง
45,000 ล้านบาท ซึ่งหากไม่มีฟู้ดแล้วจะเติบโตแค่ 12% เท่านั้น และมียอดพื้นที่ค้าปลีกของกลุ่มรวม
688,000 ตารางเมตร จากรายได้ของท็อปส์นี้จะเป็นสัดส่วน 20% จากรายได้รวมของทั้งกลุ่มกว่า
10 ธุรกิจ
สำหรับการขยายธุรกิจไปต่างประเทศนั้น นายทศมองว่า จะใช้วิธีการเข้าไปเทกโอเวอร์หรือร่วมทุนมากกว่าที่จะเข้าไปลงทุนเองตั้งแต่เริ่มต้น
เพราะจะมีความลำบากมากกว่า อีกทั้งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นน้อยมาก เช่นเดียวกับที่ต่างประเทศมาลงทุนในเอเชียหรือในไทยอย่าง
กาสิโนก็เข้ามาร่วมทุนในบิ๊กซี เทสโก้จากอังกฤษก็เข้ามาถือหุ้นในเทสโก้โลตัส หรือแม้แต่รอยัลเอโฮลด์ก็มาถือหุ้นในท็อปส์
ดังนั้นการที่ซีอาร์ซีจะไปต่างประเทศก็ต้องเป็นรูปแบบนี้เช่นกัน โดยเฉพาะสนใจใน
4 ประเทศหลักย่านนี้คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ซึ่งก่อนหน้านี้
ซีอาร์ซีได้เจรจาจะเข้าไปลงทุนในห้างโรบินสันในสิงคโปร์แต่สุดท้ายดีลนี้ได้ล้มเลิกไปแล้ว
นายแรนดี้ กัตเตอรี่ ประธานบริหาร ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต กล่าวว่า เอโฮลด์ตัดสินใจถอนการลงทุนจากเอเชียโดยไทยเป็นประเทศสุดท้ายที่ขายกิจการ
หลังจากก่อนหน้านี้ขายกิจการไปแล้วในอินโดนีเชีย และมาเลเซีย เพราะต้องการทุ่มเทธุรกิจหลักในภาคพื้นยุโรป
และอเมริกา ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประกอบการของท็อปส์ในไทยแต่อย่างใด และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เป็นการโอนหุ้นจึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆในการดำเนินธุรกิจ
สำหรับแผนของท็อปส์ในปีนี้คาดว่าจะเปิดสาขาใหม่ 2 แห่งใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท
คือ สาขาเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต และเซ็นทรัลทาวน์เซ็นเตอร์ รัตนาธิเบศร์ และปรับปรุงสาขากว่า
ปัจจุบันมีสาขารวม 47 แห่ง ส่วนรูปแบบนั้นยังคงมีเหมือนเดิมคือทั้ง ท็อปส์, มาร์เกตเพลสบายท็อปส์และซิตี้มาร์เกต
บายท็อปส์ ปีที่แล้วท็อปส์มีรายได้ประมาณ 14,000 ล้านบาท เติบโต 6% คาดว่าปีนี้จะโต
6-7%