Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน4 มีนาคม 2547
ซีอาร์ซียึดหุ้นท็อปส์คืนยันไม่ปลดทีมงานเดิม             
 


   
www resources

โฮมเพจ เซ็นทรัลกรุ๊ป

   
search resources

เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น, บจก.
ซีอาร์ซี.เอโฮลด์
รอยัล เอโฮลด์
ทศ จิราธิวัฒน์
แรนดี้ กัตเตอร์
Retail




ซีอาร์ซีเดินหน้าซื้อหุ้นท็อปส์คืน 100% จากกลุ่มรอยัลเอโฮลด์ หลังสูญเสียโอกาสธุรกิจอาหารไป 6 ปี หวังต่อยอดและสร้างศักยภาพธุรกิจ ยืนยันไม่เปลี่ยนชื่อท็อปส์และไม่เปลี่ยนทีมบริหารเดิม ดันรายได้เติบโตกว่า 50% เป็น 60,000 ล้านบาท จากแผนเดิมโตแค่ 12%

นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยว่า ขณะนี้ซีอาร์ซีได้เข้าซื้อหุ้นจากรอยัลเอโฮลด์ในบริษัท ซีอาร์ซี เอโฮลด์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจท็อปส์ซูเปอร์ มาร์เก็ตในไทย ส่งผลให้ซีอาร์ซีเป็นผู้ถือหุ้น 100% ในท็อปส์เรียบร้อยแล้วหลังจากที่ได้มีการเจรจาซื้อขายหุ้นมาระยะหนึ่ง

ทั้งนี้ทีมบริหารและพนักงานกว่า 6,000 คน รวมถึงโครงสร้างองค์กรของท็อปส์และแผนการลงทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งนายแรนดี้ กัตเตอรี่ ดำรงตำแหน่งประธานบริหารเหมือนเดิม และจะยังไม่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนที่มีอยู่เดิม 1,500 ล้านบาท เพราะผลประกอบการ ที่ผ่านมาดี และแทบจะไม่มีหนี้สินเลย แต่คงต้องมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทให้เหมาะสม ส่วนชื่อท็อปส์นั้นยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ก่อนหน้านั้นธุรกิจซูเปอร์มาร์เกตเป็นของ ซีอาร์ซี เมื่อปี 2539 รอยัลเอโฮลด์เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทร่วมกันคือ ซีอาร์ซีเอโฮลด์ โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50% ต่อมาในปี 2541 ซีอาร์ซีขายหุ้นทั้งหมดให้กับบริษัทรอยัลเอโฮลด์ จึงเท่ากับว่า ซีอาร์ซีไม่มีธุรกิจซูเปอร์มาร์เกตหรือธุรกิจอาหารอยู่ในมือนับตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันที่ได้กลับเข้าไปเป็นเจ้าของ อีกครั้งหนึ่ง จึงเท่ากับว่า ซีอาร์ซีสูญเสียโอกาสทางธุรกิจฟู้ดไปนานเกือบ 6 ปีทั้งๆที่เป็นธุรกิจที่ทำเงินมากด้วย

ส่วนกรณีที่ซีอาร์ซีจะเข้าซื้อหุ้นในบิ๊กซีคืนกลับมาจากกลุ่มกาสิโนหรือไม่นั้น นายทศอธิบายว่า ขึ้นอยู่กับทางเจ้าของที่จะเป็นผู้ขายว่าจะขายหรือไม่ เหมือนกับกรณีของที่ได้เสนอมายังซีอาร์ซีซึ่งเป็นพันธมิตรและเจ้าของเดิมจึงเจรจาและตกลงกันได้

สาเหตุหลักที่ซีอาร์ซีรุกธุรกิจอาหารหรือซูเปอร์มาร์เกตนี้อีกครั้ง ทั้งๆที่ นายทศ เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ซีอาร์ซีจะมุ่งเน้นธุรกิจนที่ไม่ใช่อาหารหรือนอนฟูด (non food) คือค้าปลีกเป็นหลัก เนื่องจากว่า ยอดรวมของธุรกิจโมเดิร์นเทรดในไทย ธุรกิจของฟูด เติบโตรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2546 มีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 45% ของยอดขายรวมโมเดิร์นเทรดและประเมินกันว่า ตลาดกลุ่มนี้จะเติบโตเท่าตัวภายในปี 2553

"ธุรกิจค้าปลีก ฟูดกับนอนฟูดมันต้องอยู่ด้วยกัน เมื่อเรามีทั้งคู่ตอนนี้ถือเป็นการซินเนอร์ยี่ (synergy) ที่ดีเหมือนกับ 1+1 เท่ากับ 3 อีกทั้งยังเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกของซีอาร์ซีด้วย เพราะจะมีทั้งสองส่วนคือทั้ง ค้าปลีกที่เป็นฟูดกับนอนฟูด ที่ไม่ใช่อาหาร และจะเป็นฐานที่มั่นในการสร้างศักยภาพและโอกาส ที่จะขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศด้วยและเพิ่มศักยภาพ ของกลุ่มที่จะเป็นที่หนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต เพราะหากลำพังมีเพียงส่วนเดียวก็จะไม่แข็งแกร่งเพียงพอ"

นายทศกล่าวต่อว่า การที่ซีอาร์ซีขยายธุรกิจกลับสู่ซูเปอร์มาร์เกตจะทำให้ประมาณการยอดรายได้รวมของกลุ่มปี 2547 นี้ มากกว่า 60,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 50% จากยอดรายได้ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ตั้งเป้ารวมปีนี้ไว้เพียง 45,000 ล้านบาท ซึ่งหากไม่มีฟู้ดแล้วจะเติบโตแค่ 12% เท่านั้น และมียอดพื้นที่ค้าปลีกของกลุ่มรวม 688,000 ตารางเมตร จากรายได้ของท็อปส์นี้จะเป็นสัดส่วน 20% จากรายได้รวมของทั้งกลุ่มกว่า 10 ธุรกิจ

สำหรับการขยายธุรกิจไปต่างประเทศนั้น นายทศมองว่า จะใช้วิธีการเข้าไปเทกโอเวอร์หรือร่วมทุนมากกว่าที่จะเข้าไปลงทุนเองตั้งแต่เริ่มต้น เพราะจะมีความลำบากมากกว่า อีกทั้งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นน้อยมาก เช่นเดียวกับที่ต่างประเทศมาลงทุนในเอเชียหรือในไทยอย่าง กาสิโนก็เข้ามาร่วมทุนในบิ๊กซี เทสโก้จากอังกฤษก็เข้ามาถือหุ้นในเทสโก้โลตัส หรือแม้แต่รอยัลเอโฮลด์ก็มาถือหุ้นในท็อปส์ ดังนั้นการที่ซีอาร์ซีจะไปต่างประเทศก็ต้องเป็นรูปแบบนี้เช่นกัน โดยเฉพาะสนใจใน 4 ประเทศหลักย่านนี้คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ซีอาร์ซีได้เจรจาจะเข้าไปลงทุนในห้างโรบินสันในสิงคโปร์แต่สุดท้ายดีลนี้ได้ล้มเลิกไปแล้ว

นายแรนดี้ กัตเตอรี่ ประธานบริหาร ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต กล่าวว่า เอโฮลด์ตัดสินใจถอนการลงทุนจากเอเชียโดยไทยเป็นประเทศสุดท้ายที่ขายกิจการ หลังจากก่อนหน้านี้ขายกิจการไปแล้วในอินโดนีเชีย และมาเลเซีย เพราะต้องการทุ่มเทธุรกิจหลักในภาคพื้นยุโรป และอเมริกา ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประกอบการของท็อปส์ในไทยแต่อย่างใด และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เป็นการโอนหุ้นจึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับแผนของท็อปส์ในปีนี้คาดว่าจะเปิดสาขาใหม่ 2 แห่งใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท คือ สาขาเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต และเซ็นทรัลทาวน์เซ็นเตอร์ รัตนาธิเบศร์ และปรับปรุงสาขากว่า ปัจจุบันมีสาขารวม 47 แห่ง ส่วนรูปแบบนั้นยังคงมีเหมือนเดิมคือทั้ง ท็อปส์, มาร์เกตเพลสบายท็อปส์และซิตี้มาร์เกต บายท็อปส์ ปีที่แล้วท็อปส์มีรายได้ประมาณ 14,000 ล้านบาท เติบโต 6% คาดว่าปีนี้จะโต 6-7%

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us