ITD รูดรับข่าวเพิ่มทุน 455 ล้านหุ้นและแตกพาร์เหลือ 1 บาท แม้จะประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ
55 สตางค์ก็ไม่เป็นผล "เปรมชัย" เผยเพิ่มทุนดังกล่าวเพียงขอมติบอร์ดไว้ก่อน เพราะต้องดูภาวะตลาดและเศรษฐกิจว่าเอื้อหรือไม่
หากต้องการใช้เงินจะระดมทุนได้ทันที ส่วนรายละเอียดที่ชัดเจนของการเพิ่มทุนตลอดจนการจัดสรรต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ปรึกษาทางการเงินก่อน
วานนี้(3 มี.ค.) ราคาหุ้นบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD)
ร่วงทันที หลังบอร์ดอนุมัติให้เพิ่มทุน พร้อมกับแตกพาร์จากหุ้นละ 10 บาทเหลือ 1
บาท และยังให้จ่ายปันผลหุ้นละ 55 สตางค์ หลังจากที่งดจ่ายมานานกว่า 8 ปี โดยราคาหุ้นปิดตลาดในช่วงเช้าที่
99 บาท ลดลง 2 บาท มูลค่าการซื้อขาย 106.72 ล้านบาท และปิดตลาดช่วงบ่ายที่ 97 บาท
ลดลง 4 บาท คิดเป็น 3.96% มูลค่าการซื้อขาย 618.05 ล้านบาท
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
(ITD) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/3/2547 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม
47 มีมติให้ระดมทุนจากประชาชนทั่วไปในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อขยายศักยภาพและฐานเงินทุนที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับโครงการที่ประมูลได้
โดยบอร์ดให้อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 855 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน
3,738,678,180 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 4,593,678,180 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน
855 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ทั้งนี้ ได้อนุมัติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 455 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ
1 บาท เพื่อเสนอขายต่อประชาชน (Public Offering) ทั้งในประเทศ และ/หรือต่างประเทศ
ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งอาจแบ่งเป็นการเสนอขายในคราวเดียวหรือหลายคราวก็ได้ ในกรณีที่มีหุ้นสามัญเพิ่มทุนเหลือจากการจัดสรรให้เสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัดหรือผู้ลงทุนสถาบัน
และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 400 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพของบริษัท
สำหรับการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อรองรับการลงทุนของบริษัทในอนาคต ซึ่งไม่จำเป็นต้องระดมทุนปีนี้ก็ได้
เพราะบริษัทต้องดูแนวโน้มภาวะตลาดก่อนว่าเหมาะสมกับการระดมทุนหรือไม่ และต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะขายให้กับบุคคลใดบ้าง
เพราะตลาดมีความเคลื่อนไหว ตลอดเวลา และส่วนหนึ่งต้องดูผลสำรวจความต้องการของนักลงทุน(บุ๊กบิว)
ด้วยว่ามากน้อยเพียงใด เพราะการระดมทุนตลาดต้องเหมาะสมและเศรษฐกิจในประเทศต้องเอื้อต่อการลงทุนของนักลงทุนด้วย
โดยการเพิ่มทุนครั้งนี้ ITD แต่งตั้งให้ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) และมอร์แกน สแตนเลย์
เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในการขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้
นายเปรมชัยกล่าวว่า การเพิ่มทุนดังกล่าว เพื่อนำเงินไว้รองรับการลงทุนในอนาคต
แต่ในส่วนของโครงการปีนี้ บริษัทมีงบประมาณเพียงพอแล้ว ซึ่งปีนี้ ITD ต้องใช้เงินในโครงการหลายโครงการ
คือ โครงการเขื่อนที่อินเดียมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท โครงการสถานีชุมทางรถไฟใต้ดินที่ประเทศไต้หวันมูลค่า
7,500 ล้านบาท และงานเพิ่มเติมที่โครงการสนามบินสุวรรณภูมิมูลค่ากว่า 47,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีความต้องการใช้เงินลงทุน สำหรับโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ มูลค่า 3,000
ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะลงในส่วนของทุนประมาณ 1,500 ล้านบาทโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำเทิน
2 จำนวน 1,400 ล้านบาท โครงการสร้างฐานผลิตสำหรับเหล็กรูปพรรณสำหรับการสร้างฐานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย
โดยเงินที่ต้องการใช้เบื้องต้นจะอยู่ที่ราว 500 ล้านบาท และลงทุนซื้อเทคโนโลยี
Pre-Fabrication จำนวน 400 ล้านบาท เพื่อรองรับโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย
สำหรับการสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์นั้น เพื่อลดต้นทุนในการซื้อปูนฯ ขณะเดียวกันก็เพิ่ม
กำไรให้กับบริษัทถึง 7% ของมูลค่าการก่อสร้าง หรือปีหนึ่งจะลดต้นทุนได้ประมาณ 1
พันล้านบาท โดยโรงงานปูนซีเมนต์จะสร้างแล้วเสร็จกลางปี 48 ซึ่ง ITD จะลงทุนในส่วนของทุนประมาณ
1,500 ล้านบาท และมีกำลังการผลิต 8 แสนตัน
โดยปีนี้ ITD มีงานในมือประมาณ 78,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานที่เซ็นสัญญาการก่อสร้างมูลค่ากว่า
63,000 ล้านบาท และเป็นงานที่อยู่ระหว่างการรอประมูลราคาอีก 14,900 ล้านบาท และในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีงานเข้ามามากกว่า
1 แสนล้านบาท และบริษัทจะต้องหางานเพิ่มอีกประมาณ 32,000 ล้านบาท เพื่อให้ได้ตามแผน
ซึ่งปี47 นี้ บริษัทจะรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท โดยงานของ ซึ่ง
ITD แบ่งเป็นงานในประเทศ 75% ที่เหลือคืองานต่างประเทศ โดยงานในประเทศเกือบทั้งหมดเป็นงานของภาครัฐ
ส่วนงานเอกชนจะมีน้อยมาก และบริษัทยังพยายามที่จะลุยโครงการในต่างประเทศเพิ่มเพื่อสร้างรายได้เข้าสู่บริษัทเป็นการลดการพึ่งพาเฉพาะในประเทศ
โดยมีเป้าหมายลงทุนในโครงการภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจประเทศไต้หวัน อินเดียและฟิลิปปินส์
รวมทั้งบังกลาเทศ รวมมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท
การพยายามลดต้นทุนการผลิต และทำกำไรเพิ่ม ทำให้บริษัทมีตัวเลขกำไรขั้นต้นของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมามี
10.57% สูงกว่าปี45 ที่มีเพียง 0.24% และผลดำเนินงานงวดปี46มีกำไร 269.51 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี45ที่ขาดทุน 163.41 ล้านบาท ส่งผลให้จากที่ขาดทุนต่อหุ้น
65 สตางค์ เป็นมีกำไรต่อหุ้น 82 สตางค์ บอร์ดจึงอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานปี
46 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนหุ้นของบริษัท ณ วันที่ 16 มีนาคม
พ.ศ. 47 ในอัตราหุ้นละ 50 สตางค์ มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท หลังจากที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมานานกว่า
8 ปี
โดยกำหนดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2547 ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 47
โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนหุ้นเพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมของผู้ถือหุ้น และสิทธิในการรับเงินปันผล
ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 47 เวลา 12.00 น. จนกว่าการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้น
ครั้งที่ 1/2547 จะแล้วเสร็จ