TUF โชว์ผลดำเนินงานงวดปี 46 กำไรเพิ่ม 47% จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกผลิตภัณฑ์รวมทั้ง
Chicken of the Sea ปีนี้นำเตรียมออกสินค้าใหม่อาหารทะเลบรรจุถุงอะลูมิเนียม เพ้าซ์
เจาะตลาดผู้ซื้อในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ถึงมือผู้บริโภคมากขึ้น หวังส่วนแบ่งตลาดเพิ่มทุกภูมิภาคทั่วโลก
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
จำกัด (มหาชน) (TUF) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 46 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,279.30
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 1,549.03 ล้านบาท ส่งผล ให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มจาก
1.80 บาท เพิ่มเป็น 2.65 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 47%
เนื่องจากรายได้จากการขาย 974.5 ล้านเหรียญ สหรัฐ เพิ่มขึ้น 22% โดยเพิ่มจาก
796.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 45 หรือคิดเป็นเงินไทย 40,342.60 ล้านบาทเพิ่มขึ้น
18% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มี 34,243.40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,279.3 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 730.30 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47% จาก 1,549.00 ล้านบาทในปี 45 และมีกำไรต่อหุ้น
2.65 บาท ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของผลกำไรปี 46 เนื่องมาจากรายได้จากการขายที่ขยายตัวมากขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์
รวม ทั้ง Chicken of the Sea ในสหรัฐอเมริกาส่วนผล ประกอบการไตรมาสที่4 บริษัทฯ
มีรายได้จากการขาย ในรูปของเงินเหรียญสหรัฐฯ และเงินบาทเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี
45 โดยมีรายได้ในรูป ของเงินบาทเพิ่มขึ้น 16% จาก 8,565.5 ล้านบาทในปี 45 เป็น
9,968.90 ล้านบาทในปี 46 และมีกำไร สุทธิ 206.2 ล้านบาท ลดลง 60% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
"การลดลงของกำไรสุทธิในไตรมาส 4 เป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับราคา
วัตถุดิบปลาทูน่าในตลาดโลกที่จับได้ในแถบ Eastern Pacific จะมีต้นทุนถูกกว่าราคาวัตถุดิบปลาทูน่าของบริษัทฯ จึงทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถกำหนดราคาขายผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าได้ดีนัก ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น
(Gross Profit Margin) ลดลงจากปีก่อนแม้จะมีรายได้จากการขายปลาทูน่าเพิ่มสูงขึ้น
4%
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนการลงทุนด้านโฆษณา และส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ
และ Chicken of the Sea ในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้น
และแม้ว่าไตรมาสที่ 4 จะมีกำไรสุทธิไม่สูงมากนักเมื่อ เทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปี
45 แต่ภาพรวมผล การดำเนินงานทั้งปี 46 ของบริษัทฯ ยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถทำรายได้
และผลกำไรได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้" นายธีรพงศ์กล่าว
นายธีรพงศ์กล่าวต่อว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้หลักจากการขายผลิต
ภัณฑ์ปลาทูน่าสุกแช่แข็ง และบรรจุกระป๋อง โดยมีสัดส่วนยอดขาย 56% ของปริมาณยอดขายรวม
รอง ลงมาคือ กุ้งแช่แข็ง 16% และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีสัดส่วน ดังนี้ อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง
9% อาหาร แมวบรรจุกระป๋อง ร้อยละ 8 อาหารกุ้ง ร้อยละ 5 ผลิตภัณฑ์ที่ขายภายในประเทศ
3% และปลาหมึกแช่แข็ง ร้อยละ 3 ส่วนตลาดส่งออก ซึ่งไม่รวมยอดขายของ Chicken of
the Sea และบริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 46
บริษัทฯ มีการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา 26% ญี่ปุ่น 25% สหภาพยุโรป 14% เอเชีย
5% ออสเตรเลีย 5% ตะวันออกกลาง 4% แอฟริกา 3% แคนาดา ร้อยละ 3 อเมริกาใต้ 2% และมีสัดส่วนขายในประเทศ
13%
สำหรับนโยบายการดำเนินงาน ปี 47 บริษัทฯ ยังคงนโยบายการสร้างอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง
โดยด้านการตลาด บริษัทฯ จะขยายส่วนแบ่งการตลาดให้มากขึ้น เพื่อให้ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก
และเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของโลกที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนงานส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ Chicken of the Sea ในตลาดสหรัฐอเมริกา
ด้วยการสร้าง Brand Strategy พร้อม กับเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้เครื่องหมาย
การค้า Chicken of the Sea ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลบรรจุถุงอะลูมิเนียม เพ้าซ์
(Seafood Pouch) ประกอบด้วย หอยนางรม หอยลาย กุ้ง ปู และปูอัด ทั้งนี้ เพื่อให้เข้าถึงผู้ซื้อมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 47 บริษัทฯ ยังคงเน้นการบริหารจัดการกิจการที่ได้ลงทุนไปแล้วอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องทั้งองค์กร
"ปีนี้ยังมีปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกหลายประการ ได้แก่ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
และราคาวัตถุดิบปลาทูน่าที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนในการผลิตที่จะสูงกว่าประเทศคู่แข่ง
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องรอความชัดเจนคือ การเรียกเก็บภาษีนำเข้ากุ้งจากประเทศไทยของสหรัฐอเมริกาเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งนั้น
จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกธุรกิจกุ้งของประเทศ" นายธีรพงศ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนธุรกิจกุ้งของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมามีการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งเพิ่ม สูงขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
โดยมีปริมาณการส่งออก 13,342 ตัน และคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกประมาณร้อยละ 11 จากปริมาณการส่งออกรวมของประเทศไทย
จากผลการดำเนินงานในปี 46 บริษัทฯ สามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
คือ 70% ของกำไรสุทธิโดยได้ จ่ายไปแล้ว 1 ครั้ง เมื่อเดือนกันยายน 46 และอีกครั้งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือนพฤษภาคม 47