Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 กุมภาพันธ์ 2547
PF มั่นใจอนาคตสดใส             
 


   
search resources

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, บมจ.
หลักทรัพย์ ไซรัส, บล.
กรุงศรีอยุธยา ,บง
หลักทรัพย์กิมเอ็ง, บมจ.
กรุงเทพบ้านและที่ดิน, บจก.
ชายนิด โง้วศิริมณี
พงศ์พันธ์ อภิญญากุล
สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
สาธิต บัวชู
Real Estate




จากความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผสมผสานกับนโยบายรัฐบาลเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้ PF กลับมาแข็งแกร่งและสร้างความคึกคักให้กับตลาดที่อยู่อาศัยอีกครั้ง

หลังจากเจ้าหนี้กลุ่มหนึ่งของ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อให้มีการฟื้นฟูกิจการผลลัพธ์บริษัท เข้าแผนฟื้นฟูอย่างเต็มรูปแบบเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2544 เป็นระยะเวลา 5 ปี

จากความพยายามของฝ่ายลูกหนี้และแรงสนับสนุนของเจ้าหนี้ ทำให้การปรับโครงสร้างหนี้ ทางการเงินของ PF เร็วกว่าที่กำหนด และคาดกันว่ากระบวนการจะจบสิ้นภายในไตรมาส 2 ปีนี้

โดยในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว ได้มีการตีสิน ทรัพย์ชำระหนี้ตั๋วเงินดอกเบี้ยลอยตัว (FRN) ซึ่ง ส่วนหนี้ที่เกินจากหลักประกันได้ถูกแปลงเป็นทุน จำนวน 46.1 ล้านหุ้น ส่งผลให้จำนวนหนี้รอแปลง สภาพเพิ่มเป็น 197 ล้านหุ้น จาก 150.9 ล้านหุ้นในไตรมาส 3 ปีที่แล้ว

ดังนั้น เมื่อรวมทุนชำระแล้ว 602.4 ล้านหุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) ที่เหลืออีก 46.8 ล้านหุ้น จะเป็นจำนวนหุ้น 846.2 ล้านหุ้น อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกปีนี้ได้มีการปรับโครง สร้างหนี้ของภาระค้ำประกันในบริษัทย่อย ส่งผลให้ภาระหนี้ที่รอแปลงเป็นทุนในส่วนของหนี้ไม่มีประกันลดลงประมาณ 500 ล้านบาท หรือ 50 ล้านหุ้น

"พวกเราคาดว่าจำหนวนหุ้นสุดท้ายจะอยู่ที่ ประมาณ 800 ล้านหุ้น" สาธิต บัวชู นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส บอก

ชายนิด โง้วศิริมณี ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ PF มั่นใจอย่างยิ่งว่าภาย ในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทจะสามารถปรับโครง สร้างหนี้ได้สำเร็จ เนื่องจากเหลือเพียงแค่กระบวนการแปลงหนี้ไม่มีหลักประกันให้เป็นทุนจำนวน 6,693 ล้านบาท หรือ 93% ของหนี้ที่ไม่มีหลักประกันทั้งหมด 7,725 ล้านบาท

อีก 8% หรือ 582 ล้านบาท บริษัทชำระไปแล้ว 20 ล้านบาท ที่เหลือทยอยชำระใน 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 1% โดยสิ้นปีที่ผ่านมาได้มีการขอใช้สิทธิไปแล้ว 5,184 ล้านบาท ที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น

ส่วนที่เหลือ 1,509 ล้านบาท จะถูกบังคับให้ใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นทุน เนื่องจากตามแผน การปรับโครงสร้างหนี้ หากมีเจ้าหนี้ขอใช้สิทธิมาก กว่า 4,000 ล้านบาท เจ้าหนี้ที่เหลือจะถูกบังคับใช้ สิทธิด้วย โดยปัจจุบัน PF มีจำนวนหุ้นอยู่ประมาณ 77.83 ล้านหุ้น หลังแปลงหนี้เป็นทุนเต็มจำนวนจะมีหุ้นทั้งหมดประมาณ 747.13 ล้านหุ้น

คำถามที่ตามมา หากเจ้าหนี้ใช้สิทธิแปลงหนี้ เป็นทุนทั้งหมด ประกอบกับหุ้นที่เกิดจากการใช้สิทธิแปลงสภาพจากวอร์แรนต์ PF จะเตรียมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร โดยคาดว่า จะมีผู้ถือหุ้นแปลงหนี้ประมาณ 20-30% และบริษัทอาจจะหาทางออกด้วยการดึงผู้ร่วมทุนมารองรับ ทั้งในรูปแบบพันธมิตรหรือการสนับสนุนทางด้านการเงิน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน PF ยังคงพึ่งพาอาศัยความน่าลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก และเกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการปรับตัวดีขึ้นของตลาดโดยรวมด้วย เนื่องเพราะตลาดหุ้นดีขึ้นจากสภาวะโดยรวม รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และคุณภาพการทำกำไรของบริษัทที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น

นอกจากนี้ PF อาจจะใช้กระแสเงินสดที่เข้า มาจำนวนมาก ซื้อหุ้นคืนทั้งก่อนและหลังแปลงหุ้น กู้วอร์แรนต์ แต่เนื่องจากกฎหมายมหาชนไม่อนุญาตให้บริษัทที่ยังขาดทุนสะสมสามารถซื้อหุ้นคืนในตลาด แม้ว่าจะมีส่วนของทุนเป็นบวก แต่บริษัทยังขาดทุนสะสมจำนวน 3,800 ล้านบาท

ดังนั้น พวกเขาต้องดำเนินการทางอ้อม ด้วยการไปตกลงกับสถาบันการเงิน ที่ถือหุ้นที่ระดับราคาปิดในช่วงเวลาที่วางเอาไว้โดยขอไถ่ถอนเป็นเงิน เพราะหากเอาเงินสดหมุนเวียนไป ลงทุนอาจจะเผชิญกับความเสี่ยงด้านความต้องการอสังหาริทรัพย์ที่จะมีสูงขึ้น

นอกจากนี้ PF อาจจะโอนหรือขายทรัพย์สินเพื่อไปตกลงไถ่ถอนหุ้นก่อนแปลงสภาพได้ กรณีดังกล่าวบริษัทอาจพิจารณาขายที่ดินบางแห่ง ซึ่งวิธีการนี้ส่งผลดี เพราะมีความรวดเร็วและชัดเจนกว่าใช้กระแสเงินสด นั่นหมายถึง การลดจำนวนหุ้นได้ทันทีและสามารถให้ผลตอบแทนต่อทุนของผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มขึ้นด้วย

เริ่มสดใส

จากความสำเร็จของการปรับโครงสร้างหนี้และบรรยากาศการดำเนินธุรกิจน่าประทับใจ ส่งผลให้ PF โชว์ผลการดำเนินงานปี 2546 ออกมาน่าสนใจ ถึงแม้ว่าตัวเลขกำไรสุทธิจะลดลงถึง 51% เหลือ 1,157 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะกำไรจาก การดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 69% จาก 530 ล้านบาท เป็น 894 ล้านบาท "โดยปกติแล้วพวกเราให้ความสำคัญกับกำไรจากการดำเนินธุรกิจมากกว่า เพราะแสดงถึงการฟื้นตัวอย่างชัดเจน แม้ว่ากำไร ขั้นต้นจะออกมาด้อยกว่าปีก่อนหน้าก็ตาม เนื่อง จากมีการขายที่ดินว่างเปล่าน้อย" สมบัติ เอกวรรณพัฒนา นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา เปิดเผย

สำหรับยอดรับรู้รายได้ในปี 2546 เติบโตถึง 106.8% จาก 1,820 ล้านบาท เป็น 3,760 ล้านบาท เนื่องเพราะกลับมามุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อ ขาย หลังจากปีก่อนหน้ายังคงอยู่ในระหว่างแก้ไข ปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน

อีกทั้ง หากสังเกตพบว่าส่วนใหญ่บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการขายบ้านและที่ดิน ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีสูงถึง 1,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.29% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์

ส่งผลให้ผู้ซื้อเร่งการโอนบ้านให้เสร็จสิ้นภาย ในปี 2546 เพื่อรับสิทธิพิเศษประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว ทำให้ยอดรับรู้รายได้เติบโตอย่างชัดเจน

อีกทั้ง หากรวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท "กรุงเทพบ้านและที่ดิน" (PF ถือหุ้นสัดส่วน 30%) อีกจำนวน 47 ล้านบาท และรายการโอนกลับกำไร จากการปรับโครงสร้างหนี้รอตัดบัญชีที่บันทึกเข้ามาในไตรมาสสุดท้าย จำนวน 233 ล้านบาท ทำให้รายได้รวมอยู่ที่ระดับ 4,127 ล้านบาท

ลดหนี้ต่อทุน

นอกเหนือจากกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจเชิงรุก ที่ วางมูลค่าโครงการรวมในปีนี้เอาไว้ที่ระดับ 18,580 ล้านบาท และคาดว่ารับรู้รายได้จากการขายเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 8,000 ล้านบาท ความท้าทายของ PF ในปีนี้ ก็คือ การลดหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ให้เหลือ 1 เท่า จาก 1.1 เท่า

เป้าหมายดังกล่าวตลาดคาดว่า PF จะประสบความสำเร็จหากไม่ก่อหนี้เพิ่ม ประกอบกับแนวโน้มยอดขายบ้านและที่ดินเพิ่มสูงขึ้น รวม ถึงมีแผนระดมทุนด้วยวิธีออกหุ้นกู้ 1,500 ล้านบาท เพื่อลดต้นทุนทางการเงินให้ลงมาสู่ระดับ 4% และหากเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำสุดในบริษัทอสังหาริมทรัพย์

"ศักยภาพธุรกิจปีนี้จะดีไปพร้อมกับความเสี่ยงทางการเงินที่ลดลง" พงศ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าว

มั่นใจไม่ฟองสบู่

จากการขยายตัวอย่างน่าตกใจของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการที่อยู่อาศัย ที่ผู้ประกอบการเปิดโครงการไม่เว้นแต่ละสัปดาห์ จนกระทั่งมีความกังวลต่อการ "โตแล้วแตก" เหมือนช่วงปี 2540

อย่างไรก็ตาม หากติดตามความเคลื่อนไหว ของบรรดาผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่แห่งวงการ ให้ ความเชื่อมั่นต่อความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต เช่นเดียวกับชายนิด ที่มองโลกในแง่ดี

ความมั่นใจของเขาเกิดจากสถิติย้อนหลัง 15 ปี ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยเติบโตขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โดยก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ความต้องการที่อยู่อาศัยเคยสูงถึง 1.76 แสนหน่วย ต่อปี และเริ่มปรับตัวลงมาจนเหลือราว 60,000 หน่วยในปี 2541 จากนั้นลดลงจนเหลือ 32,000 หน่วยติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน 4 ปี

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นระยะเวลา 2 ปี จนกระทั่งตัวเลขกระเตื้องขึ้นมาอยู่ที่ระดับราว 50,000 หน่วยในปีที่ผ่านมา "ดังนั้นผม มองว่าธุรกิจนี้เพิ่งเริ่มฟื้นตัว" เขาชี้ "จากนี้ไป 4 ปีข้างหน้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี และจะขึ้นไปสูงสุดในปี 2550 ด้วยความต้องการที่อยู่อาศัย 1.2 แสนหน่วย"

ปัจจัยที่มาสนับสนุนความคิดดังกล่าว ก็คือ จำนวนประชากรที่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับราว 10 ล้านคน โดย คาดว่า 1% มีความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ "ผมมั่นใจว่าอสังหาริมทรัพย์ยังไม่มีสัญญาณฟองสบู่ ในทางกลับกันเป็นช่วงขาขึ้น"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us