ธุรกิจค้าปลีกไทย กำลังปรับทิศทางรองรับกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยรูปแบบของ ร้านค้าปลีกในสถานีบริการน้ำมัน หรือ G-Store (Gasoline Station
Store) ดูจะกลายเป็นเวทีการแข่งขันแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
แม้ว่า G-Store จะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่มากนักสำหรับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย
เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทผู้ค้าน้ำมันหลายรายต่างได้พยายามที่จะดำเนินการร้านค้าสะดวกซื้อ
ภายในสถานีบริการน้ำมันมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Shell ที่มีร้าน Select
, Esso มี TigerMart , Star Mart ของ Caltex หรือแม้กระทั่ง Lemon Green
และ Lemon Farm ในสถานีบริการน้ำมันของบางจาก ที่ล่าสุดร้านค้าเหล่านี้ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น
ใบจาก ไปแล้ว
แต่ดูเหมือนที่ผ่านมา ผลประกอบการของร้านค้าเหล่านี้จะอยู่ห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงที่ว่าสถานีบริการน้ำมันส่วนใหญ่ดำเนินการอยู่ภายใต้ระบบ
franchise ซึ่งเจ้าของสถานประกอบการมีฐานะเป็นเพียงผู้รับสัมปทานและเป็นตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น
และความรับผิดชอบด้านต่างๆ ภายในร้าน G-Store ดูจะเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับพวกเขา
การเข้ามาดำเนินธุรกิจของ CONOCO ในประเทศไทยเมื่อปี 2534 และการเปิดสถานีบริการน้ำมัน
ภายใต้เครื่องหมาย JET แห่งแรกในปี 2536 ให้ภาพที่แตกต่างไปในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของไทย
ที่ถือเป็นธุรกิจ franchise ยุคบุกเบิก ด้วยการเป็นเจ้าของและดำเนินการสถานีบริการน้ำมันทั้งหมดเอง
ภายใต้แนวคิด CO-CO หรือ company own-company operate
นอกจากนี้ การลงทุนมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาทของ CONOCO ยังดำเนินไปท่ามกลางแนวความคิดว่าด้วยการเป็นสถานีบริการครบวงจรที่ประกอบส่วนด้วยร้านสะดวกซื้อ
Jiffy และร้านอาหารที่ได้รับความนิยมอีกหลายแห่งในสถานีบริการด้วย
รูปแบบของ Jiffy ร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการ JET ในช่วงที่ผ่านมาส่งให้
CONOCO อยู่ในฐานะทีเป็นผู้นำในการรุกตลาด Segment นี้อย่างโดดเด่น ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่น
ทำได้เพียงการตั้งรับ และจำนวนไม่น้อยอยู่ในภาวะที่กำลังมองหารูปแบบการบริหารจัดการใหม่ๆ
ขึ้นมาทดแทน
แต่ยุทธศาสตร์ของ CONOCO ดูจะมิได้หยุดอยู่เพียงร้านสะดวกซื้อในบริบทเดิมๆ
เท่านั้น โดยล่าสุด CONOCO ได้ร่วมเป็นพันธมิตรคู่ค้ากับ CRC. Ahold ซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการ
TOPS Supermarket ในการจัดหาและจัดส่งสินค้าอุปโภคบริโภคป้อนเข้าสู่ช่องทางการจำหน่ายของ
Jiffy ทั้ง 120 แห่งในสถานีบริการน้ำมัน JET อีกด้วย
สิ่งที่ CONOCO ตระหนักอยู่เสมอก็คือ การเป็นสถานีบริการที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
ที่สามารถปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค Michael L.
Blackburn ประธานและกรรมการผู้จัดการ Conoco (ประเทศไทย) กล่าวย้ำถึงยุทธศาสตร์ของ
CONOCO ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ Conoco ประสบความสำเร็จอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา
และสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันในประเทศไทยได้ในระดับ 5.7%
ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกันนี้ นอกจาก AHOLD จะจัดหาและจัดส่งสินค้าให้
Jiffy แล้ว ทั้งสองฝ่ายยังได้นำเสนอรูปแบบใหม่ของร้านสะดวกซื้อด้วยการเปิด
Jiffy Kitchen by TOPS ในแผนกอาหาร ซึ่งจะประกอบด้วยอาหารปรุงสดๆ อย่างเต็มรูปแบบและมีที่นั่งสำหรับการบริโภคในบรรยากาศทันสมัย
แผนการเปิดสถานีบริการในรูปแบบใหม่นี้ 4 แห่งในช่วงกลางปี 2544 ได้สะท้อนแนวความคิดที่
Michael L. Blackburn บอกเล่าออกมาเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ เพราะหากพิจารณาจากทำเลที่ตั้งแล้ว
สถานีบริการเหล่านี้ อยู่ในตำแหน่งที่ประกอบด้วยผู้บริโภคที่มีแนวโน้มพฤติกรรมสอดคล้องกับรูปแบบใหม่นี้ไม่น้อย
สถานีบริการทั้ง 4 แห่งที่จะมี Jiffy Kitchen by TOPS เป็นองค์ประกอบเริ่มจาก
บริเวณถนนเพชรเกษม ช่วงอำเภอสามพราน , บริเวณถนนวิภาวดี (ขาเข้า) ซึ่งทั้งสองแห่งนี้เป็นสถานีบริการที่ก่อสร้างขึ้นมาใหม่
ขณะที่สถานีบริการบริเวณแหลมฉบังและ ที่พัทยา จอมเทียน นั้นจะมีการปรับปรุงโครงสร้างใหม่เพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ
และจะมีการขยายจำนวนสถานีบริการในรูปแบบใหม่นี้อีก โดย CONOCO มีแผนที่จะขยายสถานีบริการ
JET จากเดิมที่มีอยู่ 120 แห่งไปสู่ระดับ 150 แห่งภายในปี 2002
ขณะที่ในมุมมองของ Harry Bruijniks ประธานบริหาร CRC. Ahold เขาเชื่อว่าการร่วมเป็นพันธมิตรระหว่าง
CONOCO และ AHOLD เป็นการดำเนินยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญของทั้งสองฝ่าย ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีความร่วมมือในลักษณะนี้เกิดขึ้น
และเป็นไปโดยมีการประสานความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง
อันจะก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคตด้วย
กรณีดังกล่าวนี้นับเป็นแนวทางธุรกิจแบบ multichannel กรณีแรกของ AHOLD
ในภูมิภาคเอเชีย และนับเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่ดีและทันสมัยที่สุดของ
TOPS Harry Bruijniks ย้ำในผลประโยชน์ที่ Ahold จะได้รับ
Ahold ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในกิจการ supermarket และมีความชำนาญอย่างพิเศษในสินค้าประเภทอาหาร
ได้ลงทุนในส่วนของคลังและศูนย์กระจายสินค้า โดยมีศูนย์กระจายสินค้าประเภทอาหารสด
พื้นที่ประมาณ 5,000 ตารางเมตรอยู่ที่มหาชัย และคลังสินค้าพื้นที่กว่า 70,000
ตารางเมตรอยู่ที่บางบัวทอง
ความร่วมมือระหว่าง Ahold และ Conoco ในครั้งนี้ทำให้ TOPS ซึ่งเดิมมีฐานะเป็นเพียง
supermarket ในห้างสรรพสินค้าในเครือของ Central ก่อนที่จะขยับขยายมาเปิดบริการในลักษณะ
stand alone ซึ่งรวมแล้วมีมากกว่า 40 สาขา สามารถเพิ่มช่องทางการจำหน่ายได้อย่างรวดเร็ว
จากเครือข่ายของ JET
นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้ TOPS ซึ่งมีฐานลูกค้าประมาณ 1 ล้านคน
สามารถขยายฐานลูกค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าของ JET ที่มีอยู่ประมาณ 1.7-1.8 ล้านคนได้ด้วย
ซึ่งถือเป็นการขยายฐานลูกค้าที่มีนัยสำคัญไม่น้อยทีเดียว
ปรากฏการณ์ความร่วมมือระหว่าง Ahold และ Conoco ที่เกิดขึ้นนี้ นับเป็น
กรณีที่น่าสนใจติดตามไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของผู้ประกอบการรายอื่นๆ
ทั้งในอุตสาหกรรมค้าปลีกน้ำมัน และธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ว่าจะพิจารณาและตอบสนองต่อกรณีดังกล่าวอย่างไร
และมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่การแข่งขันในกิจการร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมัน
จะกลับมามีความคึกคักอีกครั้ง