แกะรอยเส้นทางสู่ตลาดมืดของหนังดังฮอลลีวูด และความปราชัยของฮอลลีวูด
ในสงครามปราบหนังเถื่อน
ผู้บริหารสตูดิโอภาพยนตร์ใน Hollywood ต่างกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวถึงขั้นวิตกจริต
ทุกครั้งที่หนังใหม่ของตนออกฉาย โดยเฉพาะถ้าเป็นหนังดังอย่าง The Last Samurai
ที่มีซูเปอร์สตาร์อย่าง Tom Cruise
ในคืนที่ Samurai ออกฉายรอบพิเศษก่อนฉายจริง Warner Bros. สตูดิโอเจ้าของหนัง
ต้องใช้มาตรการคุ้มกันอย่างแน่นหนายิ่งกว่ามาตรการป้องกันการก่อการร้าย เพื่อประกันว่าจะไม่มีใคร
สามารถลักลอบก๊อบปี้หนังออกไปได้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากกว่า 1,000
คน เป็นผู้นำฟิล์มหนังไปส่งมอบยังห้องฉายด้วยมือ และตรวจค้นห้องฉายและภายในโรงหนังกว่า
500 แห่ง เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีใครแอบนำกล้องถ่าย วิดีโอหรือเครื่องบันทึกอื่นใดเข้ามาได้
ผู้ชมทุกคนต้องผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ มือถือติดกล้องทุกตัวถูกริบ และในระหว่างหนังฉาย
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชุดสีดำจะเดินท่อมๆ อยู่ตาม ทางเดินเป็นแถวๆ
สอดส่ายสายตาที่สวม แว่นตาที่มองเห็นได้ในความมืด มองหาแสงไฟแม้เพียงจุดเล็กๆ
ที่แสดงว่ามีกล้องถ่ายวิดีโอกำลังทำงานอยู่
ความจริงแล้ว มาตรการคุ้มกัน Samurai เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนที่หนังจะถ่ายทำจบเสียอีก
ฟิล์มหนังทุกม้วนจะถูกเข้ารหัสด้วยเครื่องหมายที่ซ่อนอยู่ ซึ่งจะทำให้สามารถแกะรอยสาวกลับมาถึงฟิล์มต้นตอได้
ในกรณีถูกละเมิดลิขสิทธิ์ แม้แต่บทภาพยนตร์ก็ยังมีรหัสลับประทับไว้ทุกหน้า
โดยรหัสนี้จะทำให้สามารถระบุได้ว่าใครเป็นเจ้าของบทฉบับนั้นๆ
Warner Bros. ยังมีบริษัทที่ทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบการละเมิดลิขสิทธิ์หนังของตนบนอินเทอร์เน็ต
ซึ่งจะคอยตรวจสอบการแลกเปลี่ยนไฟล์บนอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง และส่งจดหมายเตือนผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตว่ามีผู้ใช้ที่กำลังทำผิดกฎหมายลิขสิทธิ์
แต่อาวุธสำคัญของบริษัทดังกล่าวคือ การส่งไฟล์ปลอมออกไปหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่คิดว่าเป็นหนังใหม่หนังดังที่กำลังอยากได้
จนเมื่อดาวน์โหลดเสร็จซึ่งต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง จึงจะพบว่าเป็นไฟล์เก๊ๆ
ที่มีแต่ตัวเลข 1 กับ 0
กระนั้นก็ตาม เพียง 1 วันหลังจากการฉายรอบปฐมทัศน์ Samurai ฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ฉบับแรกก็ขึ้นไปโชว์ตัวหราอยู่บนอินเทอร์เน็ต
โดยเป็นการถ่ายจากกล้องวิดีโอขณะหนังฉาย Warner Bros. สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่า
การละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งแรกนี้เกิดขึ้นในโรงหนังใด ด้วยรหัสลับที่ซ่อนอยู่ในฟิล์มนั่นเอง
1 สัปดาห์หลังจากนั้น Samurai ก็มาวางขายปลีกอยู่ในเอเชีย พร้อมคำบรรยายที่มีให้เลือกทั้งไทย
จีน และบาฮาซาอินโดนีเซีย ด้วยสนนราคาเพียง 1 ดอลลาร์สำหรับแผ่นดีวีดีที่หาซื้อได้ที่เซี่ยงไฮ้
จนถึงขณะนี้ Warner Bros. สามารถแกะรอยได้แล้วว่า ก๊อบปี้ผิดกฎหมายของหนัง
Samurai ที่มีหลายพันก๊อบปี้บนอินเทอร์เน็ต และในรูปสื่อบันทึกอีก 25 เวอร์ชั่นจาก
12 ประเทศนั้น ทั้งหมดเป็นการทำซ้ำที่มีต้นตอมาจากม้วน screener เพียง 1
ม้วนและจากการแอบถ่ายด้วยกล้องวิดีโอขณะหนังฉายอีก 2 กล้อง เท่านั้น
เส้นทางจากตลาดเสรีไปสู่ตลาดมืดของ Samurai นี้ฟ้องว่า สตูดิโอฮอลลีวูดกำลังพ่ายแพ้ในสงครามปราบหนังเถื่อน
สมาคมภาพยนตร์แห่งอเมริกา (Motion Picture Association of America: MPAA)
ระบุว่า ปี 2003 มีหนังดังมากกว่า 50 เรื่องถูกละเมิดลิขสิทธิ์ และนำออกขายก่อนหน้าที่หนังจะลง
โรงเสียอีก ส่วนในปี 2002 เจ้าหน้าที่ก็สามารถยึดหนังเถื่อนได้ถึง 41 ล้านแผ่นทั่วโลก
Smith Barney ประเมินว่าในปี 2003 อุตสาหกรรมหนังอเมริกันน่าจะทำรายได้ที่มากกว่า
52,000 ล้านดอลลาร์ไปอีก 3.5 พันล้านดอลลาร์ ถ้าหากไม่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์
และยังชี้ว่า ในปีหน้าฮอลลีวูดยังจะสูญเสียมากขึ้นไปกว่านี้อีก โดยรายได้ในส่วนที่ควรจะได้แต่กลับไม่ได้นี้
จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5.4 พันล้านดอลลาร์ และยิ่งหนังเถื่อนที่ออกมามีคุณภาพการบันทึกที่ดีมากเท่าใด
และออกขายก่อนหนังฉายได้เร็วเท่าไร ฮอลลีวูดก็จะยิ่งสูญเสียมากเท่านั้น
เพราะทันทีที่หนังถูกละเมิดลิขสิทธิ์ โรงงานผลิตแผ่นวีซีดีหรือดีวีดี ก็พร้อมที่จะผลิตซ้ำได้อีกหลายพันหลายหมื่นแผ่น
ทั้งนี้ เมื่อกว่า 2 ปีก่อน กว่าหนังเถื่อนแผ่นแรกจะออกวางขาย ปลีกได้ ก็ต้องหลังจากหนังออกฉายไปแล้วถึง
1 สัปดาห์ แต่ทุกวันนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 48 ชั่วโมงหลังจากหนังออกฉายเท่านั้น
หรือแม้แต่ก่อนที่หนังจะออกฉายด้วยซ้ำ ด้วยสนน ราคาเพียง 1 ดอลลาร์หรือ 1
ดอลลาร์เศษๆ
สิ่งหนึ่งที่บรรดาสตูดิโอฮอลลีวูดไม่ค่อยอยากจะยอมรับคือ รูโหว่ที่อยู่ในตาข่ายคุ้มกันความปลอดภัยของตนเอง
ผลการศึกษาของ AT&T ในปี 2003 พบว่า 77% ของหนังเถื่อนบนอินเทอร์เน็ตมาจากการรั่วไหล
ณ จุดใดจุดหนึ่งภาย ในอุตสาหกรรมหนังนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นจากสมาชิกสถาบันศาสตร์และศิลป์แห่งภาพยนตร์
(Acadamy of Motion Picture Arts and Sciences) ซึ่งเป็นผู้ตัดสินรางวัลออสการ์
นักวิจารณ์หนัง หรือผู้ที่ทำหน้าที่ฉายหนังในห้องฉาย
ดังกรณีของหนัง Something's Gotta Give ของ Sony รวมทั้ง Samurai และเรื่องอื่นๆ
อีกหลายเรื่องที่เจ้าของ หนังสามารถแกะรอยจากหนังฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ สาวกลับไปถึงม้วน
screener ที่ส่งให้แก่ Carmine Caridi นักแสดงอาวุโสผู้เป็นสมาชิกของสถาบันที่ตัดสินรางวัลออสการ์ได้
ซึ่งขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า นักแสดงอาวุโสคนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยหรือไม่
ทางสถาบันฯ ก็มิได้นิ่งนอนใจและได้ลงมืออุดรูรั่วที่เกิดจากตนแล้ว โดยได้ตั้งกฎใหม่ว่า
สมาชิกคนใดที่ถูกพบว่าทำม้วน screener รั่วไหลไปถึงมือพวกค้าหนังเถื่อน จะต้องถูกไล่ออกจากสถาบัน
ซึ่งสมาชิก 80% ได้ลงนามรับทราบกฎใหม่นี้แล้ว
บรรดานักนิยมดาวน์โหลดหนังจากอินเทอร์เน็ตและซื้อหนังเถื่อน ต่างพยายามยืนยันว่า
การทำเช่นนั้นหาได้กระทบกับพฤติกรรมการซื้อหนังลิขสิทธิ์ หรือการออกจากบ้านไปดูหนังโรงของพวกเขาไม่
แต่ Jack Valenti แห่ง MPAA ค้านว่า ถ้าคุณสามารถดาวน์โหลดหนังที่มีคุณภาพการบันทึกดีเยี่ยมทั้งภาพและเสียงได้
ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเสียอะไรสักอย่าง มีหรือที่คุณจะยังคงกลับไปควักเงินซื้อแผ่นดีวีดีของแท้อีก
ดังจะเห็นได้จากการที่อุตสาหกรรมเพลงอเมริกันได้เผชิญกับวิกฤติการณ์จนแทบล้มทั้งยืนมาแล้ว
ด้วยยอดขายอัลบั้มเพลงใหม่ที่ตกลงถึง 16% นับตั้งแต่ปี 2000 เรื่อยมา ท่ามกลางการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงบนอินเทอร์เน็ตที่แพร่เร็วยิ่งกว่าไข้หวัดนก
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเคยยืนกรานคัดค้านอุตสาหกรรมเพลง ที่ใช้ไม้แข็งกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์มานานหลายปี
เมื่อถึงคราวผงเข้าตาตัวเองบ้าง บรรดาสตูดิโอฮอลลีวูดก็ตัดสินใจที่จะดำเนินคดีกับพวกละเมิดลิขสิทธิ์
โดย MPAA กำลังสอบสวนโรงหนัง 23 แห่งในสหรัฐฯ ที่มีการ แอบนำกล้องวิดีโอเข้าไปบันทึกหนังขณะฉาย
และมีการฟ้องร้อง Johnny Ray Gasca ซึ่งกลายเป็นผู้ต้องหาที่แอบนำกล้องวิดีโอเข้าไปบันทึกหนังขณะฉายคนแรกของสหรัฐฯ
ที่ถูกจับดำเนินคดี (แต่เขาก็หนีประกันไปเรียบร้อยแล้วเมื่อไม่กี่สัปดาห์
ก่อน)
แต่การใช้ไม้แข็งใช่จะช่วยพลิกสถานการณ์ของฮอลลีวูด ที่กำลังตกเป็นฝ่ายปราชัยได้
"ไม่มีใครเชื่อว่า ฮอลลีวูดจะสามารถเกลี้ยกล่อมชักจูงให้ประชาชนเลิกดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตได้"
Eric Garland แห่ง BigChampagne บริษัทติดตามการดาวน์โหลดสื่อบันเทิงยอดนิยมบนอินเทอร์เน็ตชี้
ดูเหมือนว่า สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ที่ยังคงปกป้องอุตสาหกรรมหนังฮอลลีวูดไว้ได้
คือความก้าวหน้าอย่างเชื่องช้าของเทคโนโลยีดาวน์โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ต
โดยขณะนี้การดาวน์โหลดหนังเรื่องหนึ่งที่เร็วที่สุดผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังคงต้องใช้เวลาถึง
8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
แต่ในอีก 18 เดือนนับจากนี้ เวลาในการดาวน์โหลดจะลดลงเหลือเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
ขณะเดียวกันเทคโนโลยีของกล้องถ่ายวิดีโอก็กำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อาจจะถึงเวลาแล้ว
ที่สตูดิโอจะต้องวางอาวุธและยอมจำนนในสงครามปราบหนังเถื่อน แล้วหันมาคิดโมเดลธุรกิจใหม่
สำหรับโลกใหม่ที่รูปแบบการบริโภคสื่อบันเทิงได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง