หากเอ่ยนามนักเขียน มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ บางคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อ แต่เมื่อ
2-3 ปีที่ผ่านมานี้ชื่อนี้เป็นที่รู้จักในหมู่นักอ่านคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะหนังสือ
The One Straw Revolution และรสนา โตสิตระกูล ได้นำมาแปลชื่อปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว
ส่วน The Road Back to Nature เป็นหนังสือที่ทำให้มาซาโนบุได้รับการยกย่องว่า
เป็นปราชญ์ทางเกษตรธรรมชาติของญี่ปุ่น และนวลคำ จันภา ได้นำมาแปลเป็นภาษาไทยใช้ชื่อ
"วิถีสู่ธรรมชาติ" มีทั้งหมด 3 เล่มด้วยกัน
สามปีหลังจากที่ The One Straw Revolution ถูกแปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษในปี
2522 มาซาโนบุได้รับเชิญให้ไปเยือนอเมริกา นับเป็นครั้งแรกที่เขาจากบ้านเกิดเมืองนอน
หลังจากนั้นเขาก็ได้รับเชิญไปเยือนในอีกหลายประเทศ และในปี 2531 ประสบการณ์และความคิดเห็นที่เขาได้จากการเดินทางดังกล่าว
มาซาโนบุได้เขียนออกมาเป็นหนังสือ The Road Back to Nature
บางคนกล่าวว่า ธรรมชาติที่ถูกมนุษย์ย่ำยีก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน และบอกว่าถึงเป็นผืนทะเลทรายกว้าง
ที่เหลือเป็นอนุสรณ์แห่งกำเนิดอารยธรรมมนุษย์ นั่นก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน
แต่ไม่ว่ามนุษย์จะท่องเที่ยวไปตามทุ่งนาป่าเขาเพียงใด ไม่ว่ามนุษย์จะแยกตัวไปอยู่ตามหุบเขาที่มีลำธารไหลระเรื่อยผ่านนานสักเท่าใด
คงมองเห็นแต่เปลือกนอกของธรรมชาติ มนุษย์ไม่มีวันเข้าถึงหัวใจและดวงวิญญาณภายในที่แท้จริงของธรรมชาติได้เลย
แม้ว่ามาซาโนบุจะพูดถึงสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ภาพของดินแดนทั้งสองที่เขาถ่ายทอดให้เห็นนั้น
กลับแตกต่างจากที่หลายคนเข้าใจกันโดยทั่วไป "โลกใหม่" อันเป็นสมญานามของอเมริกาเมื่อศตวรรษที่แล้ว
และดูเหมือนว่ายังคงความยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์จนถึงปัจจุบัน
ในสายตาของมาซาโนบุกลับเป็นประเทศซึ่งเสื่อมทรุดและง่อนแง่นอย่างมาก โดยเฉพาะทางเกษตรกรรม
โภชนาการและนิเวศวิทยา
ทั้งนี้เป็นผลจากระบบเกษตรกรรมแผนใหม่ ซึ่งมุ่งผลิตพืชพรรณและปศุสัตว์อย่างมโหฬาร
โดยอาศัยเครื่องจักร น้ำมัน สารเคมี ไม่ต่างจากการทำเหมืองขนาดใหญ่ อันเป็นการตักตวงแร่ธาตุ
และความอุดมสมบูรณ์ไปจากผืนดินอย่างยากที่จะกลับคืนมาได้
ผลคือผืนดินและธรรมชาติกำลังตายซาก และผิดเพี้ยนผันแปร ชาวนาชาวไร่ล้มละลายมากขึ้น
ส่วนยุโรปเองก็หาได้มีชะตากรรมต่างจากนี้ไม่
ตึกสูงใหญ่ แต่แท้จริงกลับง่อนแง่นเพราะรากฐานไม่มั่นคงฉันใด อารยธรรมที่ดูยิ่งใหญ่
มั่งคั่งด้วยวัตถุและโภคทรัพย์ หากจะถึงแก่ความหายนะก็เพราะทัศนคติพื้นฐานฉันนั้น
ท่ามกลางความมืดมน ประกายแห่งความหวังได้ปรากฏขึ้นด้วยในสองทวีปนั้น ขบวนการอย่างใหม่ได้ขยายตัวขึ้นในหลายรูปลักษณ์และหลายวงการ
รวมทั้งขบวนการเกษตรกรรมธรรมชาติ ซึ่งกำลังหยั่งรากลึกขึ้น รอวันเวลาผลิดอกออกผล
โดยที่จิตสำนึกใหม่ในแนวนิเวศวิทยากำลังแพร่ไปในหลายประเทศ อันสะท้อนถึงความลุ่มลึกและละเอียดอ่อนต่อภูมิปัญญาที่แสดงตัวอยู่ในธรรมชาติ
นี่คือจุดเปลี่ยนในโลกตะวันตก ขณะที่โลกตะวันออก เช่น ญี่ปุ่นเองกำลังถลำลึกไปตามเส้นทางสายเก่าของตะวันออกยิ่งขึ้นทุกที
นักพันธุกรรมศาสตร์พากันเชื่อว่าตนกำลังสำรวจที่มาของชีวิต และทำการดึงเอาหน่วยพันธุกรรมของเซลล์สิ่งมีชีวิตมาสังเคราะห์
แต่ดวงวิญญาณของธรรมชาติมิได้มีสติอยู่ในสายดีเอ็นเอ หรือในโปรตีนเบื้องต้นที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์สิ่งมีชีวิต
เมื่อไม่นานมานี้ นักฟิสิกส์อ้างว่าทัศนคติด้านจิตใจในแนวคิดตะวันออกที่ว่าด้วยความว่างเปล่า
(ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า มุ) นั้น ใกล้เคียงกับแนวคิดในทฤษฎีควอนตัม
อีกทั้งนักบินอวกาศที่ลอยตัวอยู่ในอวกาศในสภาพไร้น้ำหนัก สามารถสัมผัสตัวตนของธรรมชาติได้
แต่ธรรมชาติดำรงอยู่ไกลเหนือขอบเขตความรู้ของมนุษย์ ไม่ว่าจะพยายามแยกผ่าธรรมชาติมาศึกษาสักเท่าไร
ไม่ว่ามนุษย์จะปฏิเสธภูมิความรู้ทุกอย่างที่ตนมีและเรียกทุกสิ่งทุกอย่างว่า
"ความว่างเปล่า" มนุษย์ก็ยังไม่สามารถเห็นสภาพที่แท้จริงของธรรมชาติได้
มนุษย์ได้แต่ถอยห่างออกไปจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที
หนังสือชุดนี้หาได้อุดมไปด้วยข้อมูล ตัวเลข สถิติ ไม่ จะมีแต่ถ้อยคำอันสะท้อนถึงสามัญสำนึกของชาวนาชราญี่ปุ่นผู้หนึ่ง
ซึ่งยังมีชีวิตแนบแน่นกับธรรมชาติ และยังไม่ถูกปรุงแต่งให้หันเหียนผิดเพี้ยน
ออกจากวิถีธรรมชาติอย่างที่ยุคสมัยไฮเทคคาดหวังให้เป็น
ในแง่หนึ่งมาซาโนบุได้บันทึกการปะทะสังสรรค์ระหว่างวัฒนธรรมสองกระแส ระหว่างตะวันออกกับตะวันตก
และระหว่างสามัญสำนึกกับเชาวน์ปัญญาอันซับซ้อน ทั้งนี้มิจำต้องหมายความว่าเชาวน์ปัญญาจะหมายถึงภูมิปัญญาเสมอไป
ความจริงอาจตรงข้าม ดังกวีผู้หนึ่งกล่าวว่า ภูมิปัญญาแท้ที่จริงก็คือสามัญสำนึกที่มากเกินสามัญนั่นเอง
การเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลกของมาซาโนบุ ช่วยให้เขาได้เห็นกระแสแนวโน้มของอารยธรรมโลกชัดเจนขึ้น
ตอกย้ำทัศนะของเขาว่า วัฒนธรรมที่ติดยึดในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้วยกรอบความคิดแบบแยกส่วนนั้น
ใกล้ถึงจุดตีบตันเข้าไปทุกที
ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือนิเวศวิทยา มีแต่วัฒนธรรมที่อิงธรรมชาติโดยมองโลกอย่างเป็นองค์รวมเท่านั้น
ที่จะเป็นทางออกของมนุษยชาติ พื้นพิภพและระบบนิเวศน์ทั้งมวลได้
เมื่อมาซาโนบุเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว เขาก็ย้อนกลับมาดูสภาพการณ์ของเกษตรกรรมในญี่ปุ่นที่ดูจะไม่เหลือความหวัง
เพราะมุ่งหน้าไล่ตามตะวันตกโดยไม่สนใจภูมิปัญญาของตนเองเลย จนกำลังล้ำหน้าตะวันตก
ขณะที่ตะวันตกเองเริ่มหันกลับมามองตะวันออก และดูเป็นความหวังและทางออกของโลกอยู่นั้น
มาซาโนบุกลับมองว่า ความหวังของระบบนิเวศน์ในระดับโลก รวมทั้งความหวังของเกษตรกรรมธรรมชาติ
กลับอยู่ที่ตะวันตกมากกว่า
มนุษย์ก่อกำเนิดและเติบโตจากธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อมนุษย์พลัดหลงออกจากธรรมชาติและมีชีวิตอย่างระหกระเหินในโลกแห่งวัตถุนิยม
อันหยาบกระด้างและแห้งแล้ง หนทางเดียวที่มนุษย์จะกลับมามีชีวิตอย่างผาสุกและเต็มเปี่ยม
คือ การคืนสู่ธรรมชาติ
วิถีสู่ธรรมชาติ อาจเริ่มต้นด้วยการมีชีวิตแวดล้อมของธรรมชาติแต่เพียงเท่านั้นหาพอไม่
แม้กระทั่งวิถีแห่งการผลิตและการได้มาซึ่งปัจจัยยังชีพ โดยเฉพาะอาหาร ก็ควรเป็นไปโดยนัยแห่งธรรมชาติด้วย
มิใช่ด้วยการบงการธรรมชาติ
หากแต่ให้วิถีแห่งธรรมชาตินั้นเองเป็นพลังหล่อเลี้ยง มาซาโนบุได้เสนอเกษตรกรรมธรรมชาติ
ในฐานะที่เป็นทางเลือกใหม่ของมนุษยชาติ ทั้งนี้มิใช่เพื่อให้ไปพ้นจากวิกฤติการณ์ทางนิเวศวิทยาและทางสังคมการเมือง
ที่กำลังรุมเร้าอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น
หากยังเพื่อฟื้นฟูสรวงสวรรค์บนพื้นโลกที่เคยสูญไปให้กลับคืนมา ดังที่เขาได้ตั้งชื่อรองของหนังสือเล่มนี้ในเวอร์ชั่นอังกฤษว่า
"Regaining the Paradise Lost"