ยูนิลีเวอร์ ชี้ โทรศัพท์มือถือ บ้าน รถยนต์ดึงกำลังซื้อผู้บริโภค คนไทย ส่งผลตลาดอุปโภคบริโภคหดตัวโต
3% ไขก๊อกสองลุยต่อยอดกลยุทธ์ Vitality to life "เพิ่มชีวิตชีวา" ทั่วโลก
วางหมากผุดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ สร้าง ตลาดใหม่ล่อใจผู้บริโภค ทุ่มงบ 100 ล้านบาท
ตั้งศูนย์นวัตกรรมผิวและวิจัยสกินแคร์ หวังใช้ไทยเป็นฮับในเอเชีย มั่นใจสิ้นปีโต10%
โชว์ผลประกอบการปี 46 โตตามเป้า 9.4%
นายเลโอ โอสเตอร์เวียร์ ประธานบริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค
เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคปีนี้เติบโตน้อยประมาณ 3-5% เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยดีขึ้น
ส่งผลให้กำลังซื้อคนไทยเพิ่มขึ้นแต่กลับเลือกที่จะใช้เงินเพื่อที่จะซื้อสินค้าขนาดใหญ่
ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ บ้าน รถยนต์ ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคปัจจุบันมีอัตราการบริโภค
100% ทุกครัวเรือนแล้ว โดยเฉพาะตลาดผงซักฟอก แชมพู อาหารเป็น กลุ่มที่เติบโตน้อย
ส่งผลให้สถานการณ์ตลาดอุปโภคบริโภคปีนี้หดตัวเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
ส่วนความต้องการบริโภคสินค้า อุปโภคบริโภคเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ต้องการสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่และตอบสนองความต้องการมาก
ขึ้น ขณะที่ราคาของสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงเพื่อแข่งขันกับสินค้าขนาดใหญ่ๆ ส่งผลให้ภาพรวมการแข่งขันตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคปีนี้
ผู้ประกอบการแต่ละค่ายจะต้องงัดกลยุทธ์เร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่มากขึ้น รวมทั้งยูนิลีเวอร์เองด้วย
ปีนี้กลยุทธ์การทำตลาดของบริษัทยูนิลีเวอร์ทั่วโลก ได้ปรับเปลี่ยน ใหม่หลังจากที่ใช้กลยุทธ์
Path to Growth ซึ่งเน้นการสร้างแบรนด์ สร้างผลิตภัณฑ์ และยอดขายให้เติบโต มากว่า
4-5 ปี โดยเปลี่ยนเป็น Vitality to life หรือเพิ่มชีวิตชีวา โดยเน้นการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค
ให้มีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดี และเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการสร้างตลาดใหม่เพื่อกระตุ้นตลาดอุปโภคบริโภคให้เติบโต
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตลาดสกินแคร์ใหม่ โดย จับกลุ่มอายุ 25 ปี และ 35 ปี การออก
น้ำยาปรับผ้านุ่ม สูตรเข้มข้น และคนอร์ สูตรไม่มีผงชูรส ซึ่งเป็น ตลาด ที่ยังไม่เคยมีผู้ประกอบการรายใดทำ
แผนการทำตลาดปีนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 กลุ่ม หลัก ได้แก่
กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลและทำ ความสะอาดผิว กลุ่มไอศกรีมและผลิตภัณฑ์อาหาร
โดยผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนและส่วนบุคคล จะยังคงเป็นหัวหอกในการเจาะตลาดและขยายธุรกิจ
"แนวโน้มการแข่งขันปีนี้มีความ รุนแรง ดังนั้น นโยบายการทำตลาดปีนี้ยูนิลีเวอร์จะเน้นการสร้างความน่าเชื่อ
ถือในแบรนด์สินค้าเพราะผู้บริโภคมีความฉลาดมากขึ้น การเร่งขยายช่องทางจัดจำหน่ายในทุกทาง
และการขยายตลาดด้วยการจัดกิจกรรมที่เหมาะกับแต่ละช่องทาง เพื่อเจาะเข้าถึง ตัวผู้บริโภคใหม่ๆกว้างมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะใช้สื่อโฆษณารูปแบบใหม่ หลังจากที่อัตราค่า โฆษณาทางทีวีมีราคาแพงขึ้น"
นายโอสเตอร์เวียร์กล่าวต่อว่า บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ตั้งศูนย์นวัตกรรมผิวขึ้นที่ประเทศไทยเมื่อ
2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ โดยย้ายมาจากอินโดนีเซีย มีพนักงาน 100 คน ร่วมวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์สกินแคร์สำหรับผิวคนเอเชียและสร้างแบรนด์
ใหม่ๆ ทั้งนี้ เป้าหมายของบริษัทวางให้ ไทยเป็นฮับวิจัยผิวสำหรับผิวของคนเอเชีย
เพราะแนวโน้มตลาดสกินแคร์ในเอเชียเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพเติบโตสูง บริษัทจึงหันมารุก
ตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น จากปัจจุบันบริษัทมีศูนย์นวัตกรรมผิวเพียง 2 แห่ง ได้แก่
ปารีส ศูนย์วิจัยสำหรับผิวยุโรป นิวยอร์ก สำหรับผิวอเมริกา นอกจากนี้ ปีนี้บริษัทวางแผน
ขยายกำลังการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการ ผลิตให้กับสินค้าใหม่
ผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีที่ผ่านมาเติบโต 9.4% ซึ่งเป็น การเติบโตมากกว่าตลาด
หรือคิดเป็น รายได้ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน
และเครื่องใช้ส่วนบุคคลเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วมาก ขณะที่ยูนิลีเวอร์ เน็ตเวิร์ค
วาสลีน และโดฟ ก็เป็นกลุ่ม ที่เติบโตและมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา