บิวท์ทูบิวด์ เข้าสู่ปีที่ 2 ในธุรกิจรับสร้างบ้าน มุ่งสร้างแบรนด์ต่อเนื่องกับกลุ่มลูกค้า
เป้าหมายระดับ B+ ผ่านภาพยนตร์ โฆษณาและรายการส่งเสริมการขายภายใต้งบ ตั้งเป้ายอดสั่งสร้าง
350 ล้านบาท และรับเหมาก่อ สร้างให้กับโครงการจัดสรรอีก 150 ล้านบาท
นายธีระ ซอโสตถิกุล กรรม การรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวท์ทูบิวด์ จำกัด บริษัทรับสร้างบ้าน
เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงาน และการตลาดในปี 2547 ว่า แนว ทางด้านการตลาด โฆษณา และประชาสัมพันธ์ของบริษัทบิวท์ทูบิวด์
จะเน้นความต่อเนื่องของการสร้างแบรนด์และความเชื่อถือด้านบริการ กับตลาดเป้าหมายในระดับ
B+ ไปจนถึง A- ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่ชัดเจนกับความต้องการสร้างบ้านระดับ 4 ล้านบาทถึง
10 ล้านบาทขึ้นไป แต่โดยเฉลี่ยของยอดสั่งสร้างบ้านในช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราคา
4-5 ล้านบาท/หน่วย
ในช่วงปีที่ผ่านมา ความต้อง การของตลาดโดยรวมในกลุ่มรับสร้างบ้านเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ
หากแต่จะมีคู่แข่งเข้าสู่ตลาดมากขึ้น เฉพาะรายใหญ่มีประมาณ 10 รายในตลาด เมื่อเทียบกับในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจมีผู้ประกอบการในตลาดสูงถึง
200 ราย
"เมื่อพิจารณาถึงปริมาณงานในตลาดพบว่ามีการเติบโตมากขึ้น ขณะที่การแข่งขันก็ปรับตัวสูงเช่นกัน
เพื่อให้รองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การสร้างแบรนด์ และภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
เป็นสิ่งที่ต้องทำ"
จากการเปิดตัวบริษัทในช่วง พ.ย. 2545 พบว่า บิวท์ทูบิวด์ซึ่งเป็นอีกบริษัทรับสร้างบ้านในกลุ่มซีคอน
มีการวางตำแหน่งการตลาด ที่ชัดเจนสำหรับสร้างบ้านระดับ 2 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนซีคอนจะทำตลาดระดับราคา
1-5 ล้านบาท ทั้ง 2 บริษัทแยกการทำตลาดเป้าหมาย ที่ชัดเจนและไม่แย่งส่วนแบ่งการตลาดระหว่างกัน
ขณะนี้อยู่ระหว่าง การพัฒนาภาพยนตร์โฆษณาอีก 1 ชุดสะท้อนถึงภาพลักษณ์องค์กร (Corporate
Branding) เป็นหลัก โดยชุดใหม่นี้จะออกอากาศในอีกประมาณ 1 เดือน เน้นสร้างความมั่นใจกับสินค้าและบริการของบริษัท
หลังจากการเปิดตัวด้วยวิธีส่งเสริมการขายแบบฮาร์ดเซล (Hard sale) และซอฟต์เซล (Soft
sale) มาก่อนหน้านี้ คิดเป็นงบประมาณเพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ 15 ล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าในการทำงาน พบว่าในช่วงเดือนมกราคม 2547 มียอดสั่งสร้างแล้ว
12-15 หน่วย ตั้งเป้าว่าสิ้นปีจะมียอดสั่งสร้างบ้านเป็นมูลค่า 350 ล้านบาท รวมกับมูลค่าจากการรับก่อสร้างโครงการ
150 ล้านบาท ส่วนความคืบหน้าของโครงการเทรนดี้ เพลส อ่อนนุช 44 เหลือเพียง 4 ยูนิตเท่า
นั้น วัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาโครงการนี้ คือ ต้องการสร้าง เป็นแบบบ้านสร้างเสร็จให้กับลูก
ค้าที่ต้องการชมบ้านก่อนตัดสินใจสั่งสร้าง สอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้าปัจจุบันที่ต้องการชมบ้านจริง
ก่อนตัดสินใจ จากที่ดำเนินการในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่าวิธีนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าถึง
50%
สำหรับการแข่งขันของกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านเน้นแข่งขันด้านการพัฒนาแบบบ้านให้หลากหลาย
สร้างด้วยงบประมาณไม่บานปลาย ให้ความมั่นใจกับลูกค้า และทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ซึ่งเป็นประเด็นหลักของการแข่งขันในธุรกิจนี้
ด้านฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า การแบ่งระดับของผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านมี
3 ระดับ ประกอบด้วย ตลาดระดับบนสุด ระดับกลางขึ้นบน และระดับกลางลงล่าง ขณะที่แนวโน้มของผู้ใช้บริการมีมากสุดในกลุ่มบ้านระดับราคา
2-3 ล้านบาทถึง 50% ระดับต่ำกว่า 1 ล้านบาทลงมา จำนวน 20% และราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป
มีสัดส่วน 10%