เปิดแผนลงทุน กลุ่มชาญอิสสระ ตั้งเป้ารุกตลาดบ้านเดี่ยว คอนโดมีเนียม และรีสอร์ต
เน้นบริหารสัดส่วนรายได้จากค่าเช่าและดูแลบริหารโครงการ 20-30% รวมกับรายได้จากการขาย
80% ชี้โอกาสลงทุนในธุรกิจผลิตวัสดุก่อสร้างพรีแฟบ จากโอกาสธุรกิจก่อสร้างสำเร็จรูปเติบโต
พร้อมเตรียมพัฒนาอีก 4-5 โครงการใหม่ หวังทำยอดขายรวม 2,000-3,000 ล้านบาทใน 5
ปี
ประกาศรุกทุกตลาด
นายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
หรือ CID เปิดเผยถึงทิศทางการตลาดของกลุ่มว่า แนวทางการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มจะเน้นพัฒนาโครงการให้ครอบ
คลุมทุกตลาด ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม และรีสอร์ต โดยปี 2547 ได้พัฒนาใน
3 โครงการหลัก คือ โครงการศรีพันวา จังหวัดภูเก็ต โครงการพักอาศัยสำหรับ ชาวต่างชาติ,
โครงการคอนโดมิเนียม-โลว์ไรส์ บ้านเพลินทะเลที่ชายหาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และโครงการบ้านอิสสระพระราม
โครงการทั้งหมดเน้นการออกแบบทันสมัย เจาะตลาดเป้าหมายระดับพรีเมียม ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง
ส่วนโครงการรีสอร์ตและคอนโดมิเนียม เน้นทำเลที่มีศักยภาพ กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ขนาดกลาง และต้องการปิดการขายเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารด้านการก่อสร้างและการตลาด
เพิ่มโอกาสการสร้างยอดขายให้เร็วยิ่งขึ้น
โครงการบ้านอิสสระพระราม 9 มีจำนวน 60 ยูนิต ระดับราคา 16-30 ล้านบาท มูลค่าโครงการ
1,200 ล้านบาท มีการพัฒนาในส่วน ของบ้านสั่งสร้างและบ้านสร้างเสร็จก่อนขายอย่างละ
50% พัฒนาตลาดกลาง-ล่างลดความเสี่ยง
นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทต้องกลับมาพิจารณาถึงตำแหน่งทางการตลาด และรูปแบบการบริหารงานใหม่
ครั้งนี้พบว่า การพัฒนาโครงการที่เป็นบ้านเดี่ยวจะช่วยลดความเสี่ยงได้ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องพัฒนาให้แล้วเสร็จทั้งโครงการก่อนขาย
ขณะที่กลุ่มระดับกลางถึงบนมีกำลังซื้อสูงในภาวะดอกเบี้ยต่ำ การทำงานจะต้องพัฒนาไม่เกิน
2 ปีต่อหนึ่งโครงการเพื่อลดระยะเวลาการสร้างรายได้ให้เร็วขึ้น
จากแนวทางที่ทำมาถือว่าคลำถูกทางแล้ว เพียงแต่ในอนาคตจะต้องมีการพัฒนาสินค้าในระดับราคาที่ต่ำลง
สำหรับตลาดในระดับกว้าง (Mass Market) สร้างขนาดตลาดให้กว้าง เน้นปริมาณให้มากขึ้นแม้ว่าจะมีมาร์จินน้อยกว่าบ้านระดับบน
ที่มีมาร์จินอยู่ประมาณ 25% ทั้งนี้ เพื่อสร้างสัดส่วนของรายได้จากการขายให้สมดุลกัน
บริหารรายได้เช่า-ขาย
ในส่วนของอาคารสูง เราเน้นพัฒนา อาคารสูงเชิงพาณิชย์ แต่การพัฒนาอาคารสูงต้องใช้ระยะเวลาการก่อสร้างนานและงบประมาณลงทุนแต่ละอาคารจำนวนมาก
เพื่อป้องกันความเสี่ยง บริษัทจึงตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอก (BKKCP) มูลค่ารวม
1,000 ล้านบาท
จุดเด่นของการตั้งกองทุนรวมฯ ขึ้นมา เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างรายได้จากค่าเช่า
เฉลี่ยผลตอบแทน 7-8% ต่อปี เป็นกองทุนฯ ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาถือหุ้น
ซึ่งให้ผลตอบแทนระยะยาว ปัจจุบันบริษัทถือหุ้น 33% บริษัทธุรกิจประกันภัย จำนวน
30% นักลงทุนรายย่อย 30% ที่เหลือเป็นการถือหุ้นในนามส่วนตัว
แนวทางการลงทุนของกองทุนรวมฯ เน้นซื้ออาคารสูงเชิงพาณิชย์ไว้เป็นทรัพย์สินของกองทุน
ปัจจุบันมีตึกชาญอิสสระ 1 และ 2 อยู่ในกองทุนอสังหาริมทรัพย์บางกอก และได้ขยายไปสู่การเช่าอาคารของกลุ่มชลประทาน
ซีเมนต์ด้านข้าง จำนวน 5,000 ตารางเมตร เพื่อตกแต่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าแห่งใหม่
ปัจจุบัน อาคารชาญอิสสระ 1 มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 290 บาทต่อตารางเมตร ส่วนอาคารชาญอิสสระ
2 มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 250 บาทต่อตารางเมตร ทั้ง 2 อาคารมีการเข้าใช้พื้นที่เฉลี่ย
90%
(การบริหารความเสี่ยงที่วางไว้ ทั้งกองทุนฯ แรก และที่มีแนวโน้มจะจัดตั้งในอนาคต
นอกจากจะช่วยสร้างรายได้จากการเช่าพื้นที่ให้กับบริษัทแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งหน้า
โดยวางสัดส่วนรายได้จากการเช่าและบริหารโครงการไว้ที่ 20% และจะปรับเพิ่มเป็น 30%
ในอนาคต กับรายได้จากการขายอีกประมาณ 80%)
ในอนาคต มีแนวโน้มที่จะจัดตั้งกองทุน รวมอสังหาริมทรัพย์อีก 1 กอง เพื่อบริหารสินทรัพย์
สัดส่วนรายได้สำหรับโครงการอพาร์ตเมนต์ และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์
"จากเป้าหมายที่วางไว้ ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า บริษัทจะต้องมีโครงการพัฒนาใหม่
ประมาณ 5 โครงการ ในจำนวนนี้จะกระจายประเภทของสินทรัพย์ตามภาวะตลาด เมื่อรวมกับ
4-5 โครงการในปัจจุบัน และสินทรัพย์ในกองทุนรวมฯ จะทำให้มียอดขายประมาณ 2,000-3,000
ล้านบาท เมื่อเทียบผลกำไร ผลตอบแทนจากการลงทุน และยอดขายแล้ว จะสามารถสู้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้"
นายสงกรานต์ กล่าว