วายุภักษ์ 1 ดีเดย์ลุยหุ้นสัปดาห์หน้า หลังได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุน
ด้านผู้บริหารกองทุนยืนยันกรอบการลงทุนเป็นหุ้นที่มีกระทรวงการคลังถืออยู่เท่านั้น
และไม่ได้มีเป้าหมายหลักเพื่อพยุงหุ้น แต่ยอมรับถ้าเข้าซื้อจริงก็อาจเป็น การพยุงราคาทางอ้อม
เหตุหุ้นที่คลังถือส่วนใหญ่เป็น "บิ๊กแคป" งานนี้มั่นใจบริหารได้ผลตอบแทนกระฉูด
แต่รายย่อยจะได้ผลตอบแทนสูงสุดไม่เกิน 9% ตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวนเท่านั้นส่วนที่เหลือกระทรวงการ
คลังกินเรียบ
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี
ในฐานะผู้ร่วมบริหาร กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 16 ก.พ.
2547 นี้ คณะกรรมการกองทุน จะมีการประชุมหารือกัน เกี่ยวกับการขยายกรอบการ ลงทุน
โดยให้กองทุนสามารถนำเงินที่เหลือจากการซื้อหุ้น 11 ตัวมาจากกระทรวงการคลัง จำนวน
30,000 ล้านบาท มาลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ รวมทั้งให้กองทุนสามารถนำหุ้นที่ซื้อมาจากกระทรวงการคลังจำนวน
11 ตัว ออกมาซื้อขายได้ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหน่วยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากคณะกรรม-การกองทุนอนุมัติก็จะสามารถเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทันที
อย่างไรก็ตาม กรอบของการลงทุนจะยังคงอยู่ในหุ้นของบริษัทที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่เป็นหลัก
รวมทั้งต้องสำรองเงินไว้สำหรับการจองซื้อหุ้นรัฐวิสาหกิจที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย
ซึ่งในฐานะของผู้บริหารกองทุนคงจะพิจารณาถึงความ เหมาะสมและผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นหลัก
โดยหุ้นตัวใดที่กองทุนถืออยู่และมีราคาที่เกินจากปัจจัยพื้นฐาน ก็จะมีการขายทำกำไรออกมา
ในขณะที่หุ้นตัวใดที่มีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน กองทุนก็จะเข้า ไปซื้อ ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการบริหารของกองทุนทั่วไป
นอกจากนั้น ในจำนวนเงิน 30,000 ล้านบาทดังกล่าว จะต้องสำรองไว้สำหรับจ่ายเงินปันผลตลอดอายุกองทุน
10 ปี จำนวน 21,000 ล้านบาท ดังนั้นถือว่าเหลือเงินที่จะนำไปลงทุนได้เต็มที่เพียง
9,000 ล้าน บาท เท่านั้น ส่วนที่เหลือสามารถนำมาลงทุนได้แต่ต้อง คำนึงถึงสภาพคล่องเป็นหลัก
โดยจะต้องมีเงินพร้อมสำหรับการจ่ายปันผลในแต่ละปี
สำหรับประเด็นที่ว่า หากกองทุนวายุภักษ์เข้ามาซื้อขายหุ้นในกระดาน จะเป็นการแทรกแซงตลาดหรือไม่นั้น
นายพิชิต กล่าวว่า กระทรวงการคลังเองก็มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว ซึ่งในแง่ของนโยบายของกองทุนแล้วเป็น
การลงทุนระยะยาว และจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เป็นการแทรกแซง อย่างไรก็ตามการบริหารก็ต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยเป็นหลัก
หากเข้าไปแล้วต้องขาดทุนก็คงจะไม่ทำ
"ตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างผันผวนผิดปกติจากเหตุการณ์ระบาดของไข้หวัดนก
ซึ่งหุ้นที่กองทุนจะเข้าไปซื้อ ต้องเป็นหุ้นที่คาดว่าจะมีโอกาสทำกำไรจากการลงทุน
และต้องอยู่ในกรอบของหุ้นที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งส่วนมากเป็นหุ้นมาร์เกตแคปใหญ่
ดังนั้นเมื่อกองทุนเข้าไปซื้ออาจจะได้ประโยชน์คือสามารถพยุงตลาดได้ในทางอ้อม แต่คงไม่ใช่วัตถุประสงค์
หลัก" นายพิชิตกล่าว
เขากล่าวต่อว่า หากกองทุนวายุภักษ์สามารถซื้อขายหุ้นได้ คาดว่าผลตอบที่จะให้แก่ผู้ถือหน่วยคงเพิ่มมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามผู้ถือหน่วยประเภท ก. ซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยจะได้ผลตอบแทนขั้นสูงสุดไม่เกิน
9% ตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะตกเป็นของกระทรวงการคลัง
ที่เป็นผู้ถือหน่วยประเภท ข. ที่ไม่มีการรับประกันเงินต้น โดยหลักการดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการเอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย
แต่เป็นหลักการเดียวกับกองทุนที่มีการคุ้มครองเงินต้นโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นต้องขึ้นอยู่กับโอกาสในการลงทุนในช่วงนั้นด้วย
หากเป็นจังหวะที่ดีอาจจะจ่ายเงินปันผลไม่ถึง 9% เพื่อนำเงินไปลงทุนต่อ
ส่วนความคืบหน้าในการนำหน่วยลงทุนเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพยฯ์นั้น ได้ยื่นเรื่องต่อตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อขอเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนแล้ว
ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายได้ในวันที่ 18 ก.พ. นี้