Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน9 กุมภาพันธ์ 2547
SCลัน3ปีครองตลาดอสังหา             
 


   
search resources

เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น, บมจ.
สุรเธียร จักรธรานนท์
Real Estate




"สุรเธียร" แห่งเอสซี แอสเสทฯ เครือชินวัตร ลั่นยังไม่ถึงจังหวะเพิ่มทุน โชว์ D/E ต่ำแค่ 0.5% พร้อมผุดโครงการใหม่อีก 3 โปรเจกต์ เน้นตลาดบ้านเดี่ยวราคา 6-10 ล้านบาท ร่วมทุนบริหาร NPA กับแบงก์ จับตาไม่เกิน 3 ปีก้าวขึ้นแท่นผู้นำในวงการอสังหาฯได้ เปรยเตรียมตอบแทนผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลปี 2548

นายสุรเธียร จักรธรานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ให้สัมภาษณ์กับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่าปัจจุบันฐานะของบริษัทฯมีความแข็งแกร่งและด้านทุนมีความได้เปรียบ โดยในระยะนี้บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะว่าหากพิจารณาด้านหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำอยู่ระดับ 0.5 เท่า ซึ่งตามปกติแล้วธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์โดยทั่วไปD/E หากอยู่ระดับ 1 เท่าก็พอ แล้ว ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถก่อหนี้ได้ถึง 2 เท่าตัว ประกอบกับบริษัทยังมีกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามา อย่างต่อเนื่องประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปี

"ระยะนี้เราไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะอาจจะใช้ความสามารถทางหนี้เป็นเครื่องมือในการก่อหนี้สำหรับการลงทุนเพิ่ม และด้วยเครดิตและผู้ถือหุ้นทำให้เรากู้ได้สูงกว่า เมื่อเทียบ กับบริษัทในตลาดร่วม ดอกเบี้ยที่ถูกคิดจะถูกมากๆ" นายสุรเธียรกล่าว

ตามข้อมูลของหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯได้ระบุบริษัทมียอดหนี้ รวม 1,129.62 ล้านบาท (ณ 30 มิ.ย. 2546) และในไตรมาส 3 บริษัทได้กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ 3 แห่ง เพื่อลงทุนในบริษัทย่อย ลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภาย ในกิจการ โดยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 และห้องชุดเป็นหลักประกัน ซึ่งมียอดเงินกู้คงค้าง 954.477 ล้านบาทของวง เงินกู้ที่ขอไว้

นายสุรเธียร กล่าวถึงแผนธุรกิจว่าในปีนี้อัตราเติบโตของบริษัทจะเร็วกว่าปี 2546 หลายเท่าตัว เพราะเป็นผลจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างองค์กร และการบริหารจัดการ เพื่อให้ สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท

"การบริหารงานของผมในระยะ 3 ปีข้างหน้า จะเน้นให้เอสซี แอสเสท เติบโตความเร็วสูง ปีนี้ ก็เหมือนกันจะโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งยอดขาย จำนวนโครงการ เพราะเรามั่นใจในระบบป้องกัน ความเสี่ยงที่สูงต่อให้เกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว รายได้ของเอสซีจะไม่ถูกกระทบกระเทือนเหมือนอสังหาริมทรัพย์อื่น ซึ่งภายใน 3 ปี จะเห็นเอสซีชัด เป็นบริษัทชั้นนำของอสังหาริมทรัพย์ " นายสุรเธียร กล่าว

ในปี 2545 บริษัทมีรายได้รวม 262.80 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจสำนักงานให้เช่าจากอาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 โดยมีผลขาด ทุนสุทธิ 34.96 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 3 ของปี 2546 บริษัทมีกำไรสุทธิ 46.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.62 ล้านบาทจากขาดทุนจำนวน 3.78 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ของปี 2545 โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท สาเหตุที่กำไรเพิ่มมาจาก บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 23.32 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากการขายห้องชุด และมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 83.10 ล้านบาท ในช่วงงวด 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 56.154 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.29 บาท อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าในปี2546 จะมีรายได้รวม 1,073.86 ล้านบาท กำไรสุทธิ 132.90 ล้านบาท

อนึ่ง ตึกอาคารชินวัตร 3 ในช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม 2546 ได้ปิดค่าเช่าแล้วซึ่งยังมีพื้นที่เหลือน้อยไม่ถึง 10% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเอกชนทางด้านพลังงาน บริษัทเทคโนโลยี บริษัทบันเทิง และวัสดุก่อสร้างทางด้านอสังหาริมทรัพย์เช่าพื้นที่ค่อนข้างมาก

กรรมการผู้อำนวยการกล่าวว่า ในปีนี้จะมีการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มอีก 2-3 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยว ที่มุ่งกลุ่ม ลูกค้าระดับบน ราคาระดับ 6-10 ล้านบาท ซึ่งยังมีช่องให้บริษัทสอดแทรกเข้าไปได้อีก และโครง การร่วมทุนในการพัฒนาทรัพย์สินรอการขาย (NPA) กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งด้วยข้อได้เปรียบ ทางด้านตราสินค้า (แบรนด์เนม) หากไปร่วมทุน กับใคร จะทำให้โครงการนั้นดีขึ้นและน่าเชื่อถือ และด้วยระบบการบริหารด้วยมืออาชีพ

"เรื่องการบริหารไม่มีเจ้าของเข้ามากำกับเหมือนองค์กรอื่น ซึ่งธุรกิจอื่นมองวัฒนธรรมเอสซีแตกต่างกัน ตรงนี้เวลาร่วมทุนแล้วทำให้ช่อง ว่างทางวัฒนธรรมไม่มาก ไม่เหมือนกับธนาคารพาณิชย์ที่มีวัฒนธรรมกับธนาคารพาณิชย์บางแห่งที่แตกต่างกัน" นายสุรเธียร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการคือ หมู่บ้านจัดสรร ประเภททาวน์เฮาส์ เขตลาดพร้าว และคอนโดมิเนียมที่เขตพญาไท ขณะที่โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด เป็นอีกโครง การที่ได้ดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2548 ความคืบหน้าของการก่อ สร้างแล้วกว่า 60% มูลค่าโครงการ 2,260 ล้านบาท จำนวน 301 ยูนิต ทั้งนี้ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด เป็นบ้านที่นำนวัตกรรมใหม่ภายใต้แนวคิดสรรค์ เป็นรูปแบบบ้านเดี่ยวสร้างเสร็จและสั่งสร้าง ที่นำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศมาผสมผสานภายใต้ ihome concept

นายสุรเธียร กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างทางธุรกิจ และการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้ว่าในปี 2548 บริษัทจะเริ่มจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่ศึกษาว่าที่จะไป ขยายตลาดอสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่างประเทศ

วิเคราะห์บ้านเดี่ยว-คอนโดฯโต

นายสุรเธียร กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2547 ว่า การแข่งขันมีความรุนแรงและกำไรที่จะได้เหมือนในอดีตคง จะลดลง เพราะตลาดถูกกระตุกจากนโยบายของ รัฐบาลที่ลดความร้อนแรงของธุรกิจอสังหาริม- ทรัพย์ การกำหนดเงินดาวน์ 30% ในส่วนบ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะมีปัญหากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้สูงแต่เงินออมต่ำ จะได้ รับผลกระทบจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนกลุ่มที่มีรายได้สูงและมีเงินออมอยู่แล้วไม่ค่อยมีปัญหา ขณะที่อุตสาห-กรรมการก่อสร้างปรับตัวไม่ทันต่อการฟื้นตัวของ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้วัสดุก่อสร้างไม่เพียงพอ เพราะผู้ผลิตหันไปตลาดส่งออกมากกว่า ตลาดในประเทศ และกว่าจะปรับกระบวนการผลิตจากการส่งออกมาเน้นตลาดในประเทศ คงต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีทำให้เกิดช่องว่างการกำหนดราคา(ฮั้ว) ซึ่งในส่วนนี้แก้ไขยาก

"ตลาดที่อยู่อาศัยบ้านเดี่ยวและคอนโดมิ-เนียมยังมีอัตราเติบโตในปีนี้ ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มหันไปเน้นบ้านระดับราคากลางต่ำกว่า 5 ล้านบาทลงมา จากช่วง 2 ปีตลาดจะเน้นระดับราคาสูง แต่ตลาดโดยรวมยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะภาพยังไม่ชัดเจน" นายสุรเธียรกล่าว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us