"สุรเธียร" แห่งเอสซี แอสเสทฯ เครือชินวัตร ลั่นยังไม่ถึงจังหวะเพิ่มทุน
โชว์ D/E ต่ำแค่ 0.5% พร้อมผุดโครงการใหม่อีก 3 โปรเจกต์ เน้นตลาดบ้านเดี่ยวราคา
6-10 ล้านบาท ร่วมทุนบริหาร NPA กับแบงก์ จับตาไม่เกิน 3 ปีก้าวขึ้นแท่นผู้นำในวงการอสังหาฯได้
เปรยเตรียมตอบแทนผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลปี 2548
นายสุรเธียร จักรธรานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) หรือ SC ให้สัมภาษณ์กับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่าปัจจุบันฐานะของบริษัทฯมีความแข็งแกร่งและด้านทุนมีความได้เปรียบ
โดยในระยะนี้บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะว่าหากพิจารณาด้านหนี้สินต่อทุน
(D/E) ต่ำอยู่ระดับ 0.5 เท่า ซึ่งตามปกติแล้วธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์โดยทั่วไปD/E
หากอยู่ระดับ 1 เท่าก็พอ แล้ว ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท
ซึ่งสามารถก่อหนี้ได้ถึง 2 เท่าตัว ประกอบกับบริษัทยังมีกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามา
อย่างต่อเนื่องประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปี
"ระยะนี้เราไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะอาจจะใช้ความสามารถทางหนี้เป็นเครื่องมือในการก่อหนี้สำหรับการลงทุนเพิ่ม
และด้วยเครดิตและผู้ถือหุ้นทำให้เรากู้ได้สูงกว่า เมื่อเทียบ กับบริษัทในตลาดร่วม
ดอกเบี้ยที่ถูกคิดจะถูกมากๆ" นายสุรเธียรกล่าว
ตามข้อมูลของหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯได้ระบุบริษัทมียอดหนี้
รวม 1,129.62 ล้านบาท (ณ 30 มิ.ย. 2546) และในไตรมาส 3 บริษัทได้กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์
3 แห่ง เพื่อลงทุนในบริษัทย่อย ลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภาย
ในกิจการ โดยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 และห้องชุดเป็นหลักประกัน
ซึ่งมียอดเงินกู้คงค้าง 954.477 ล้านบาทของวง เงินกู้ที่ขอไว้
นายสุรเธียร กล่าวถึงแผนธุรกิจว่าในปีนี้อัตราเติบโตของบริษัทจะเร็วกว่าปี 2546
หลายเท่าตัว เพราะเป็นผลจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างองค์กร และการบริหารจัดการ
เพื่อให้ สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท
"การบริหารงานของผมในระยะ 3 ปีข้างหน้า จะเน้นให้เอสซี แอสเสท เติบโตความเร็วสูง
ปีนี้ ก็เหมือนกันจะโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งยอดขาย จำนวนโครงการ เพราะเรามั่นใจในระบบป้องกัน
ความเสี่ยงที่สูงต่อให้เกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว รายได้ของเอสซีจะไม่ถูกกระทบกระเทือนเหมือนอสังหาริมทรัพย์อื่น
ซึ่งภายใน 3 ปี จะเห็นเอสซีชัด เป็นบริษัทชั้นนำของอสังหาริมทรัพย์ " นายสุรเธียร
กล่าว
ในปี 2545 บริษัทมีรายได้รวม 262.80 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจสำนักงานให้เช่าจากอาคารชินวัตรทาวเวอร์
3 โดยมีผลขาด ทุนสุทธิ 34.96 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 3 ของปี 2546 บริษัทมีกำไรสุทธิ
46.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.62 ล้านบาทจากขาดทุนจำนวน 3.78 ล้านบาท ในไตรมาส 3
ของปี 2545 โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท สาเหตุที่กำไรเพิ่มมาจาก บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น
23.32 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากการขายห้องชุด และมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน
83.10 ล้านบาท ในช่วงงวด 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 56.154 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น
0.29 บาท อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าในปี2546 จะมีรายได้รวม 1,073.86 ล้านบาท กำไรสุทธิ
132.90 ล้านบาท
อนึ่ง ตึกอาคารชินวัตร 3 ในช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม 2546 ได้ปิดค่าเช่าแล้วซึ่งยังมีพื้นที่เหลือน้อยไม่ถึง
10% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเอกชนทางด้านพลังงาน บริษัทเทคโนโลยี บริษัทบันเทิง และวัสดุก่อสร้างทางด้านอสังหาริมทรัพย์เช่าพื้นที่ค่อนข้างมาก
กรรมการผู้อำนวยการกล่าวว่า ในปีนี้จะมีการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มอีก
2-3 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยว ที่มุ่งกลุ่ม ลูกค้าระดับบน ราคาระดับ
6-10 ล้านบาท ซึ่งยังมีช่องให้บริษัทสอดแทรกเข้าไปได้อีก และโครง การร่วมทุนในการพัฒนาทรัพย์สินรอการขาย
(NPA) กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งด้วยข้อได้เปรียบ ทางด้านตราสินค้า (แบรนด์เนม) หากไปร่วมทุน
กับใคร จะทำให้โครงการนั้นดีขึ้นและน่าเชื่อถือ และด้วยระบบการบริหารด้วยมืออาชีพ
"เรื่องการบริหารไม่มีเจ้าของเข้ามากำกับเหมือนองค์กรอื่น ซึ่งธุรกิจอื่นมองวัฒนธรรมเอสซีแตกต่างกัน
ตรงนี้เวลาร่วมทุนแล้วทำให้ช่อง ว่างทางวัฒนธรรมไม่มาก ไม่เหมือนกับธนาคารพาณิชย์ที่มีวัฒนธรรมกับธนาคารพาณิชย์บางแห่งที่แตกต่างกัน"
นายสุรเธียร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการคือ หมู่บ้านจัดสรร ประเภททาวน์เฮาส์
เขตลาดพร้าว และคอนโดมิเนียมที่เขตพญาไท ขณะที่โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด เป็นอีกโครง
การที่ได้ดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2548 ความคืบหน้าของการก่อ
สร้างแล้วกว่า 60% มูลค่าโครงการ 2,260 ล้านบาท จำนวน 301 ยูนิต ทั้งนี้ โครงการบางกอก
บูเลอวาร์ด เป็นบ้านที่นำนวัตกรรมใหม่ภายใต้แนวคิดสรรค์ เป็นรูปแบบบ้านเดี่ยวสร้างเสร็จและสั่งสร้าง
ที่นำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศมาผสมผสานภายใต้ ihome concept
นายสุรเธียร กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างทางธุรกิจ และการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง
โดยจะเห็นได้ว่าในปี 2548 บริษัทจะเริ่มจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ นอกจากนี้
บริษัทยังมีแผนที่ศึกษาว่าที่จะไป ขยายตลาดอสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่างประเทศ
วิเคราะห์บ้านเดี่ยว-คอนโดฯโต
นายสุรเธียร กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2547 ว่า การแข่งขันมีความรุนแรงและกำไรที่จะได้เหมือนในอดีตคง
จะลดลง เพราะตลาดถูกกระตุกจากนโยบายของ รัฐบาลที่ลดความร้อนแรงของธุรกิจอสังหาริม-
ทรัพย์ การกำหนดเงินดาวน์ 30% ในส่วนบ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะมีปัญหากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้สูงแต่เงินออมต่ำ
จะได้ รับผลกระทบจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนกลุ่มที่มีรายได้สูงและมีเงินออมอยู่แล้วไม่ค่อยมีปัญหา
ขณะที่อุตสาห-กรรมการก่อสร้างปรับตัวไม่ทันต่อการฟื้นตัวของ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ส่งผลให้วัสดุก่อสร้างไม่เพียงพอ เพราะผู้ผลิตหันไปตลาดส่งออกมากกว่า ตลาดในประเทศ
และกว่าจะปรับกระบวนการผลิตจากการส่งออกมาเน้นตลาดในประเทศ คงต้องใช้เวลาประมาณ
2-3 ปีทำให้เกิดช่องว่างการกำหนดราคา(ฮั้ว) ซึ่งในส่วนนี้แก้ไขยาก
"ตลาดที่อยู่อาศัยบ้านเดี่ยวและคอนโดมิ-เนียมยังมีอัตราเติบโตในปีนี้ ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มหันไปเน้นบ้านระดับราคากลางต่ำกว่า
5 ล้านบาทลงมา จากช่วง 2 ปีตลาดจะเน้นระดับราคาสูง แต่ตลาดโดยรวมยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าจะเป็นอย่างไร
เพราะภาพยังไม่ชัดเจน" นายสุรเธียรกล่าว