หุ้นไทยผันผวนต่อวานนี้ ก่อนดีดกลับแรง 32.42 จุด พุ่งเกือบ 5% เกือบชน 700 ขาใหญ่เริ่มกลับเข้าเก็บของเข้าพอร์ต
"ยรรยง พันธุ์วงกล่อม" ตั้งเป้าทยอยซื้อหุ้น พื้นฐานแน่นเข้าพอร์ต 70% คาดหวังฟันกำไรไม่ต่ำกว่า 10% ด้านนักลงทุนต่างชาติหันกลับซื้อสุทธิ 1,551 ล้านบาท ขณะที่ กบข.ช้อนซื้อของถูก ด้าน "ทักษิณ" ลั่น หุ้นน่าลงทุน ถ้าไม่นั่งเก้าอี้นายกฯ ทุ่มเงิน 2-3 พันล้านเข้าไปซื้อลงทุนแล้ว แนวโน้มยังผันผวน หุ้นมีสิทธิ์เดินหน้าแตะ 720 จุด
ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์วานนี้ (3 ก.พ.) ดัชนีมีความผันผวนอย่างมากตลอดทั้งวันซื้อขาย
โดยเปิดตลาดดัชนีลดลง 7.28 จุดหลังจากนั้นก็มีแรงเทขายออกมาทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่
649.31 จุดลดลง 18.02 จุด แต่ในช่วงบ่ายได้มีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวในแดนบวกได้โดยปิดที่ระดับ
699.75 จุดเพิ่มขึ้น 32.42 จุดหรือ 4.86% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดของวัน มีมูลค่าการซื้อขาย
37,100.71 ล้านบาท การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่านักลงทุนต่าง ประเทศซื้อสุทธิ
1,551.01 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,039.28 ล้านบาทและนักลงทุนสถาบันในประเทศ
ขายสุทธิ 511.73 ล้านบาท
นายยรรงยง พันธุ์วงกล่อม นักลงทุนรายใหญ่เปิดเผยว่า เพิ่งจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาด
หุ้นเมื่อวานนี้ (3 ก.พ.) เป็นวันแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้หยุดพักการซื้อขายไประยะหนึ่ง
สาเหตุที่เริ่มกลับมาเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเนื่องจากประเมินว่าภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลงมาเร็วและแรง
มากจนเกินไป จึงมองว่าน่าจะใกล้ถึงระดับที่ดัชนีมีโอกาสดีดตัวขึ้นมาได้แล้ว อย่างไรก็ตามโอกาสที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่อก็ยังมีโอกาสเช่นกัน
แต่ก็เชื่อว่าความเสี่ยงในการลงทุน ในระดับดัชนีขณะนี้ถือว่ามีความเสี่ยงที่ต่ำ
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนในรอบนี้มีแผนที่จะเลือก ที่จะซื้อหุ้นเข้าพอร์ตประมาณ 70%
ของพอร์ตการ ลงทุนโดยรวม โดยจะเลือกซื้อหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาแรงมากก่อนหน้านี้
และต่อมาราคาก็ปรับตัว ลดลงมาแรงเช่นกัน เช่นหุ้นในกลุ่มสื่อสารบางตัว กลุ่มหลักทรัพย์และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง
โดยจะคำนึงถึงหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ และราคาอ่อนลง โดยคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างน้อยประมาณ
10%
"ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนมาก ซึ่งช่วง ที่ขึ้นก็ขึ้นจนร้อนแรงเกินไป และเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงก็ลงมาโอเวอร์จนเกินไป
ซึ่งการลงทุนจะต้องพิจารณาจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งจริงๆ แล้วตั้งใจจะเข้าซื้อหุ้นตั้งแต่ช่วงที่ดัชนีอยู่ในระดับประมาณ
680 จุดตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์แล้ว แต่เห็นว่ามีแรงขายออกมามากจึงรอดูสถานการณ์
อีกระยะและเพิ่งจะเข้ามาลงทุนใหม่อีกครั้งในช่วง เช้าวันที่ 3 กุมภาพันธ์เพราะเห็นว่าภาวะตลาดหุ้น
ปรับตัวลงมาแรงจนเกินไป"
นายยรรยงกล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากสภาพ ตลาดหุ้นแล้วมองว่าตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมาแรงแต่ไม่สามารถผ่านระดับ
800 จุดได้ ดังนั้น จึงเป็นช่วงของการปรับฐาน ซึ่งถ้าไม่มีปัจจัยลบเกี่ยวกับไข้หวัดนกเข้ามากระทบเชื่อว่าดัชนีคงจะปรับฐานไม่รุนแรงมากนัก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยไข้หวัดนกนั้นเชื่อว่ามีผลกระทบในช่วงสั้นและในวงไม่กว้าง ซึ่งเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไม่เปลี่ยน
แปลงแต่อย่างใด แต่ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาแรงเพราะเป็นผลเชิงจิตวิทยาเท่านั้น
นายกมล เอี้ยวศิวิกูล ประธานกรรมการ บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (MIDA)
ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ได้หยุดการซื้อขายหุ้นในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาหลายวันเพื่อรอดูสถานการณ์
โดยหุ้นที่อยู่ ในพอร์ตส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและสามารถถือลงทุนได้ ดังนั้น
จึงยังไม่มีการขายหุ้น ล้างพอร์ตแต่อย่างใด เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่นิยมการขายตัดขาดทุน
(cut loss) แต่การเล่นหุ้นจะเป็นลักษณะของการซื้อลงทุนระยะยาว ส่วนหุ้นเก็งกำไรมีในพอร์ตบ้างเล็กน้อยไม่ถึง
10% ดังนั้น เมื่อตลาดแพนิคจึงไม่จำเป็นต้องเทขายออกมาแต่จะเป็นในลักษณะชะลอการซื้อขายมากกว่า
"หลักการเล่นหุ้นของผมจะดูที่เงินมากกว่า หากมีเงินเหลือก็จะซื้อหุ้นที่คิดว่าดี
ส่วนหุ้นเก็งกำไรมีบ้างแต่ก็ไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกซื้อหุ้นที่มีขนาดกลางที่มีสภาพคล่องดีไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่
เพราะหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่ผู้เล่นจะเป็นพวกกองทุน ซึ่งต้องยอมรับว่าเราสู้เค้าไม่ได้ทั้งในด้านเม็ดเงินหรือประสบการณ์ในการเล่นหุ้น"
นายกมลกล่าว
นายจักรภพ เพ็ญแข โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าเมื่อวานนี้ (3 ก.พ.)
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้กล่าว ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ดัชนีปรับตัวลดลงมามากว่า
หากตนไม่ใช่นายกรัฐมนตรีเป็นเพียงนักธุรกิจเหมือนนักลงทุนธรรมดา ก็จะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น
2-3 พันล้านบาท เพราะเห็นว่าเป็นจังหวะดีที่จะเข้าไปทำกำไรระยะสั้น
นายวรุตม์ ศริวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีตลาดปรับตัวสูงขึ้นคือการที่นักลงทุนรายใหญ่ในตลาด
และนักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อหุ้นมาร์เกตแคปใหญ่ ทำให้นักลงทุนรายย่อย แห่ซื้อตาม
ประกอบกับการที่ดัชนีตลาดได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมาเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นราคาถูก
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยไทย บล.เอบีเอ็นแอมโร เอเชีย จำกัด
(มหาชน)กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้ (4 ก.พ.) อาจมีการรีบาวนด์ในช่วงสั้นๆก่อน
จะเริ่ม ทรงตัวต่อโดยมองแนวรับที่ 670-680 จุด แนวต้านที่ 710-720 จุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการคลี่คลายปัญหาไข้หวัดนก
และการกระตุ้นตลาดจากนักลงทุนรายใหญ่ยังมีต่อเนื่อง
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า ได้มีกระแสข่าวลือในห้องค้าว่ากองทุนบำเหน็จบำนาญ
ข้าราชการ (กบข.) ได้เข้ามาซื้อหุ้น เนื่องจากรัฐบาลไม่ต้องการเห็นหุ้นปรับตัวลดลงไปมากกว่านี้
โดยจะสังเกตได้จากหุ้นที่อยู่ในการดูแลของรัฐบาลเช่นหุ้นบริษัทปตท.,ธนาคารกรุงไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น
ค่อนข้างแรง
เมื่อวานนี้ได้มีการซื้อขายรายการใหญ่ (บิ๊กล็อต) ในหุ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่
ซึ่งประกอบด้วยธนาคารกรุงเทพในกระดานต่างประเทศ(BBL-F) จำนวน 1 รายการ 50,000 หุ้นมูลค่าการซื้อขาย4.800
ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 96.00 บาท,หุ้นบริษัทบีอีซีเวิลด์(BEC)จำนวน 3 รายการ
894,800 หุ้นมูลค่าการซื้อขาย 17.075 ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 19.08 บาท, หุ้นธนาคารกสิกรไทย
(KBANK) จำนวน 1 รายการ 500,000 หุ้นมูลค่า การซื้อขาย 26.00 ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ
52.00 บาท,หุ้นธนาคารกสิกรไทยในกระดานต่างประเทศ (KBANK-F) จำนวน 2 รายการ 190,000
หุ้นมูลค่าการซื้อขาย 10.66 ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 52.00 บาท
หุ้นธนาคารกรุงไทย (KTB) จำนวน 7 รายการ 2,345,000 หุ้นมูลค่าการซื้อขาย 26.084
ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 11.12 บาท,หุ้นบริษัทปตท. (PTT) จำนวน 5 รายการ 315,000
หุ้นมูลค่าการซื้อขาย 47.261 ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 150.03 บาท, หุ้นบริษัทปตท.ในกระดานต่างประเทศ
(PTT-F) จำนวน 1 รายการ 95,000 หุ้นมูลค่า การซื้อขาย 14.149 ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ
148.94 ล้านบาท,หุ้นบริษัทปูนซีเมนต์ไทย (SCC)จำนวน 1 รายการ 223,000 หุ้นมูลค่าการซื้อขาย
52.508 ล้านบาทในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 235.46 ล้านบาท