ราคาหุ้น บริษัท ไดสตาร์ อิเลกทริค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (DISTAR) ยังวิ่งเหนือระดับ
50 มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ถึงป'จจุบันหลังจากเมื่อก่อนสิ้นปี 46 บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทสำเร็จ
อีกทั้งการหันมาปรับเปลี่ยนวิธีการจำหน่ายสินค้า ทำให้หุ้นดังกล่าวได้รับการต้อนรับจากนักลงทุน
อย่างดี ขณะที่โบรกเกอร์เชื่อราคาหุ้นระดับนี้ยังลงทุนได้ ส่วนผู้บริหารยืนยันปีนี้ขยายงานเพิ่มทำเงินเข้ากระเป๋า
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น DISTAR วิ่งอยู่ที่ระดับ 55 บาท และราคาหุ้นบวกไปสูงถึง
4 บาท ระดับที่ 58 บาท โดยตลอดทั้งสัปดาห์ ราคาหุ้นวิ่งเฉียดระดับที่ 60 บาท แต่เมื่อ
วันศุกร์ที่ผ่านมาปิดที่ 50.50 บาท เปลี่ยน แปลงลดลง 3 บาท คิดเป็น 5.61% มูลค่าการซื้อขาย
10.68 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ DISTAR กล่าวว่า ปีนี้บริษัทจะรุกเปิดตลาดขายสินค้าเช่าซื้อในแถบเอเชียให้ครบทุกประเทศ
โดยจะไปเปิดตลาดสินค้ายี่ห้อไดสตาร์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่บริษัทมากขึ้น
หลังจากปรับโครงสร้างหนี้เสร็จ ทำให้สภาพคล่องตลอดจนสถาบันการเงินต่างก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงิน
เพิ่มขึ้น ดังนั้นเรื่องการขยายงาน ตลอด จนการเปิดตลาดใหม่ๆ เพื่อเป็นช่องทาง การขายสินค้า
จึงไม่ใช่เรื่องยาก และถือ ว่าปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับ DISTAR นอก จากนี้ยังมีแผนงานที่จะขยายธุรกิจเพิ่ม
อีก แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจน
"เราต้องทำงานให้ดี และต้องขยาย งานเพิ่ม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นของเราให้ผมมั่นใจว่า
ปีนี้ ผลงานของเราจะดีเหมือนที่ทำไว้ในแผน"
บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน แสดงความเห็นว่า ราคาหุ้น DISTAR ที่ ปรับเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นผลดีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หลังจากที่ บริษัทผ่านการปรับโครงสร้างหนี้เสร็จและเข้าไปลงทุนในบริษัทย่อยด้วยการซื้อหุ้นมากขึ้นในบริษัท
ไดสตาร์ ไดเร็ก จำกัด เมื่อเทียบกับค่าพีอีของบริษัทแล้วยังลงทุนได้
และปีนี้เป็นปีที่ดีของกลุ่มเครื่องไฟฟ้าฯ ที่จะมีผลประกอบการดีพุ่ง เพราะการซื้อบ้านของประชาชนมีสูง
ทำ ให้ความต้องการซื้อสินค้าประเภทเครื่อง ไฟฟ้ามีมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัท
อีกทั้งการส่งออก ตู้เย็นและอื่นๆ ไปขายยังต่างประเทศ เป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย
รวมทั้งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการจำหน่ายสินค้า ทำให้เป็นผลดีต่อบริษัท ภาพลักษณ์ของ
DISTAR ปีนี้ถือว่าลงทุนได้ และราคาที่ไล่ระดับไม่เกิน 60 บาท เพราะเมื่อปรับราคาตามค่าพีอีที่เพิ่มขึ้นแล้ว
จะทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในปัจจุบัน จึงไม่มีนัยสำคัญอะไรนัก
บล. ไซรัส ทำบทวิเคราะห์หุ้น DISTAR พร้อมมองว่าการหลังจากที่บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบตั้งแต่ปี
2544 จำนวน 166.1 ล้านบาท เนื่องจาก การตั้งสำรองเผื่อผลขาดทุนจากภาระค้ำประกัน
348 ล้านบาท อันเป็นผลจากบริษัทได้ค้ำประกันหนี้ให้กับบริษัทแดวูฯ และถูกขึ้นเครื่องหมาย
SP และย้ายไปอยู่ในหมวด REHABCO ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค. 2545 แต่ภายหลังจากที่บริษัทสามารถปรับโครงสร้างหนี้เป็นที่เรียบร้อย
เมื่อเดือน ก.ค. 2546 ที่ผ่านมา และได้โอนกลับรายการที่ตั้งสำรองไว้
ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็น บวก 319.9 ล้านบาทในไตรมาส 3/46 ตลาดฯ จึงอนุมัติให้หุ้นของ
DISTAR กลับเข้ามาซื้อขายในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2546 เป็นต้นมา
พร้อมกับการปรับเปลี่ยนนโยบาย การบริหารใหม่ โดยจะเน้นการขายตรง โดยเฉพาะระบบเงินผ่อน
กลุ่มลูกค้าเป้า หมายของ DISTAR อยู่ในระดับกลางถึงล่างซึ่งเป็นฐานผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของ
ประเทศและเป็นกลุ่มตลาดที่มีปริมาณการบริโภคสินค้ามากที่สุดในปี 2547 DISTAR จะปรับกลยุทธ์เพิ่มอัตรากำไร
โดยเน้นการขายตรงโดยเฉพาะการขาย แบบเงินผ่อน เพราะเป็นตลาดที่มีขนาด ใหญ่มากและมีแนวโน้มการเติบโตสูง
ซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ บริษัทที่พฤติกรรมการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะซื้อผ่านระบบเงินผ่อน
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท ไดสตาร์เชน ซึ่ง การขายระบบเงินผ่อนได้ดำเนินการภาย
ใต้บริษัท ไดสตาร์เชน จำกัด ซึ่ง DISTAR ถืออยู่ 19% ปัจจุบัน บริษัท ไดสตาร์เชน
จำกัด มีผลประกอบการดี ขึ้นเป็นลำดับ คาดว่าปี 2546 จะมีกำไร ประมาณ 120-130 ล้านบาท
และเพิ่มเป็น 170-200 ล้านบาทในปี 2547 DISTAR จึงมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการ ถือหุ้นให้เป็น
30-40% ในปี 2547 ซึ่งจะทำให้กำไรของ DISTAR เพิ่มขึ้นจาก ประมาณการได้อีก 50-80
ล้านบาท หรือ 2.55-4.00 บาท/หุ้น ทั้งนี้เรายังไม่ได้รวม กำไรดังกล่าวเข้าไปในประมาณการปี
2547
นอกจากนั้นมีแผนส่งออกตู้เย็นไปตลาดสหรัฐฯ นับจากปลายปีที่ผ่านมาที่ภายหลังจากที่ได้ซื้อโรงงานผลิตตู้เย็นมาจากบริษัทแดวูฯ
และมีแผนที่จะผลิตตู้เย็นเพื่อการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยจะเริ่มส่งออกตั้งแต่ต้นปี
2547
คาดปี 2547 มีกำไรสุทธิ 36.6 ล้าน บาท เราคาดว่ายอดขายในปี 2547 จะเติบโต 35
% โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นแทบ ทั้งหมดเป็นยอดส่งออกของตู้เย็น ทำให้ คาดว่า DISTAR
จะมีกำไรสุทธิ 36.6 ล้านบาท หรือ 1.83 บาท/หุ้น ดีขึ้นมาจากปี 2546 ที่มีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน
ราคาเป้าหมาย 22.00 บาทปี 2547 หากพิจารณาจากค่า PE ของ SINGER ที่ซื้อขายที่
8 เท่า MIDA ที่ 42 เท่า และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ 13 เท่า เรากำหนดค่า PE ที่เหมาะสมสำหรับ
DISTAR 12 เท่าใกล้เคียงกับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งทำให้ได้ราคาที่เหมาะสมสำหรับปี
2547 เท่ากับ 22.00 บาท/หุ้น และ ณ ราคาเป้าหมาย ดังกล่าว คิดเป็น P/BV 1.3 เท่า
ซึ่งอยู่ระหว่าง P/BV เฉลี่ยของกลุ่มที่ 2.2 เท่า และ P/BV ของ SINGER ที่ 0.9
เท่า
ก่อนหน้านี้ DISTAR ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอร์แรนต์)ที่จะซื้อหุ้นสามัญ (DE-W1)
ให้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงินคือ ธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน)จำนวน 3,000,000 หน่วย
นั้น ซึ่งได้ใช้สิทธิไปแล้ว และอนาคตจำนวนหุ้นที่เพิ่มทุนใหม่จะทำให้มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้วเป็น
230 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ เปลี่ยนสัดส่วนเป็น
บริษัท ไดสตาร์ โฮลดิ้ง จำกัด 13.48%, นายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล, 12.40%, ธนาคาร เอเชีย
จำกัด (มหาชน) 13.04%