หากคนที่ไม่รู้จักพื้นเพครอบครัวของสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม คงต้องสงสัยว่าในเมื่อเขามีอาชีพที่มั่นคง
เป็นที่ยอมรับในสังคมอยู่แล้ว ทำไมถึงคิดเข้ามาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
สมเชาว์เรียนจบคณะแพทยศาสตร์ สาขาอายุรกรรม จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี
2521 และไปใช้ชีวิตรับราชการเป็นอายุรแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น
ถึงกว่า 10 ปี
ตลอดเวลาที่เขาไปใช้ชีวิตรับราชการ ถือเป็นช่วงชีวิตที่ราบเรียบ ไม่มีอะไรตื่นเต้น
และทางบ้านก็มีการชักชวนเขาอยู่ตลอดให้ลาออกเพื่อกลับมาช่วยดูแลกิจการของครอบครัว
ซึ่งขณะนั้นยังบริหารงานกันอยู่ในนามของวังทองกรุ๊ป
"วังทองกรุ๊ป เป็นบริษัทที่คุณพ่อกับน้องเขยของผมร่วมกันก่อตั้งขึ้น"
เขาเล่า
การชักชวนให้กลับมาช่วยงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2534 เขาก็ตัดสินใจว่าจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯ
"ตอนนั้นผมคิดว่าสาขาที่เราเรียนมา ได้ปริญญามาแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องทำอย่างนั้นเสมอไป
มันก็เหมือนพื้นฐานวิชาชีพอย่างหนึ่ง แต่วิชาชีพที่เราเรียนมันสามารถไปเป็นพื้นฐานของอีกหลายวิชาชีพได้
เราเอาวิชาชีพที่เรามี เรียนมาแล้วไปทำอย่างอื่นได้เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นแพทย์อย่างเดียว
ก็ลองดู ก็เลยลาออก"
เขากลับเข้ามาช่วยงานที่บ้าน โดยได้รับตำแหน่งผู้จัดการโครงการบ้านภาสกร
บางขุนเทียน ของบริษัทภาสกรการเคหะในเครือวังทองกรุ๊ป ซึ่งตำแหน่งนี้ เปรียบเสมือนเป็นการฝึกงานให้คนที่ยังไม่เคยมีความรู้ทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เลยอย่างเขา
ให้สามารถเข้าใจธุรกิจนี้ได้มากขึ้น
"ตอนนั้นต้องลงไปดูถึงระดับล่างเลยว่าเขาขายกันอย่างไร เขาดูแลโครงการกันอย่างไร
ก่อสร้างกันอย่างไร ตอนนั้นก็พยายามศึกษา ไปดูถึงหน้างาน ไปตากแดดกับเขา
พยายามไปปีนเสากับเขา ไปดูคาน ดูอะไรพวกนี้ก็เสียวเหมือนกัน เพราะเราไม่เคยชิน
เดินไป ขาสั่นไป แต่ก็ได้ความรู้มาเยอะ"
ด้วยความที่เป็นคนที่ต้องการเรียนรู้ เขาได้เข้าอบรมหลักสูตรเรียลเอสเตทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รุ่นที่ 8 และต่อด้วยการเรียนต่อ MBA ที่นี่ในปี 2535
โครงการ MBA ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อตั้งขึ้นโดยศาสตราจารย์สังเวียน
อินทรวิชัย ซึ่งเป็นปรมาจารย์ของคนหลายคนในแวดวงตลาดหุ้น ซึ่งสมเชาว์ก็ได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์สังเวียนด้วยคนหนึ่ง
"ผมเป็นรุ่นรองสุดท้ายที่ได้เรียนกับท่าน หลังจากนั้นท่านสอนอีก 1 ปี
ก็เลิกสอนเพราะปัญหาสุขภาพ"
สมเชาว์ยอมรับว่าแนวคิดเรื่องเกี่ยวกับตลาดหุ้นได้ผุดขึ้นในสมองของเขา
ในช่วงที่ได้เข้ามาเรียน MBA ที่ธรรมศาสตร์ แต่โชคร้าย คือในปี 2537 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนเรียนจบ
น้องเขยของเขาได้เสียชีวิตลง บริษัทวังทองกรุ๊ปจึงจำเป็นต้องแตกตัวออก โดยเขาและบิดาได้แยกออกมาเปิดบริษัทเอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง
แนวคิดเรื่องการเข้าตลาดหุ้น จึงมาเป็นรูปเป็นร่างหลังจากนั้น อีกถึง 10
ปีต่อมา