Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน22 มกราคม 2547
ขายหุ้น3แบงก์ควบวันนี้             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารทหารไทย
โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โฮมเพจ ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ

   
search resources

ซิตี้กรุ๊ป
ธนาคารไทยพาณิชย์, บมจ.
ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธนาคารทหารไทย
ธนาคารไทยธนาคาร, บมจ.
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย - IFCT
มอร์แกน สแตนลี่ย์
เคจีไอ (ประเทศไทย), บล.
กระทรวงการคลัง
เจ พี มอร์แกน (ประเทศไทย), บล.
กิตติรัตน์ ณ ระนอง
สมหมาย ภาษี
Banking




"สมหมาย ภาษี" แถลงอนาคตของธนาคารทหาร ไทย หลังรัฐบาลมีมติให้นำ "ไอเอฟซีที -ดีบีเอสไทยทนุ" มาควบ รวม ตั้งเป้าเป็นธนาคารที่ให้บริการ ครบวงจร ลั่นไม่มีผลด้านลบต่อทั้งผู้ถือหุ้น ผู้ฝากเงินและผู้กู้ ส่วนพนักงานยังน้อยเมื่อเทียบกับไทยพาณิชย์ ด้านการซื้อขายในตลาด หลักทรัพย์กลับมาซื้อขายหุ้นได้ตามปกติตั้งแต่วันนี้ (22 ม.ค.) ย้ำ ขอให้นักลงทุนใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นTMB,IFCTและDTDB อย่างรอบคอบ ด้านหุ้น BT พลิกกลับมาติดลบสูงที่สุดเมื่อวานนี้

นายสมหมาย ภาษี รองปลัด กระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการบรรษัทเงินทุนอุต- สาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) และประธานกรรมการธนาคารทหารไทย (TMB) ว่า เนื่องจากสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่ง เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และแต่ละสถาบันก็จะมีการดำเนินการโดยคำนึงถึงผู้ถือหุ้นของแต่ละแห่ง ดังนั้น การควบรวมกิจการจึงต้องเป็นไปตามกระบวนการของข้อบังคับของ ตลท. และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ จะต้องเป็นไปตามขั้นตามกฎ ระเบียบ และวิธีการควบรวมกิจการตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะมีผลสรุปที่ชัดเจนต่อไป

สำหรับการประกาศงดการซื้อขายหุ้นของ ธนาคารทหารไทย ไอเอฟซีทีและดีบีเอสไทยทนุที่มีผลตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 20 มกราคม 2547 นั้น ทางตลาดหลักทรัพย์จะทำการประกาศเปิดการซื้อขายตามปกติในวันนี้ (22 ม.ค.) 2547

"เมื่อตลาดเปิดทำการซื้อขายตามปกติแล้ว ขอให้นักลงทุนใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจซื้อขายอย่างรอบคอบ" นายสมหมายกล่าว

สำหรับการเคลื่อนไหวในราคาหุ้น 3 สถาบันการเงินก่อนที่จะงดการซื้อขาย ปรากฏว่า ทันทีที่มติครม.ล้มแผนการควบรวมกิจการไทยธนาคาร (BT) กับไอเอฟซีทีและนำไอเอฟซีทีไปควบกับธนาคารทหารไทยและดีบีเอสไทยทนุ เมื่อเวลา 13.00 น. ตลาดได้ห้ามซื้อขายหุ้น TMB,IFCTและDTDB ตั้งแต่เวลา 14.30 น.

โดยก่อนถูกแขวน ราคาหุ้น TMB เพิ่ม 25 สตางค์ เพิ่ม 4.58% หรืออยู่ที่ 5.70 บาท IFCT ราคาไม่เปลี่ยนแปลงที่ 5.10 ส่วนหุ้น DTDB ราคาลด 0.5 บาท หรือ 0.99% ราคาอยู่ที่ 5 บาท

นายสมหมายกล่าวถึงการเจรจาระหว่างธนาคารทหารไทยกับธนาคารดีบีเอสไทยทนุว่า มีการเจรจากันมาก่อนเป็นเวลานานแล้ว รอเพียงการลงนามร่วมกัน

"คณะกรรมการของดีบีเอสไทยทนุ จะแจ้งให้ทราบได้ภายในสัปดาห์หน้า แต่สัดส่วนอาจลดลงจาก ที่เคยเจรจากันไว้เหลือ 10% กว่า จากประมาณ 20% เนื่องจากมีข้อมูลใหม่ของการนำเอาไอเอฟซีทีมารวมด้วย" นายสมหมายกล่าว

สำหรับผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ผู้ฝากเงิน และผู้กู้เงิน นายสมหมายกล่าวว่า เท่าที่ประเมินยังไม่เห็น ผลกระทบต่อทั้ง 3 กลุ่ม ในส่วนของผู้ถือหุ้นจะมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว หากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็ดำเนินการไม่ได้ ขณะที่หากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เห็นด้วย ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็สามารถขายหุ้นได้ นอกจากนี้ผลการควบรวมจะทำให้ธนาคาร มีความแข็งแกร่งขึ้น มีนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุนมากขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต

นายสมหมาย กล่าวว่า ผู้ฝากเงินจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด บางแห่งอาจจะดีขึ้น โดยสามารถนำเอาตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN)มาเปลี่ยนเป็นเงินฝากในรูปปกติได้ ผู้กู้ยิ่งได้รับผลดีในรูปของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นประโยชน์มากขึ้น สำหรับพนักงานกฎหมาย ได้มีข้อกำหนดอย่างชัดเจนว่า เมื่อควบรวมกันแล้ว พนักงานจะต้องไม่เสียสิทธิ์ลดลงจากที่เคยได้รับอยู่ ที่สำคัญธนาคารที่ให้บริการครบวงจรควรมีพนักงาน รองรับ จึงไม่น่ากระทบต่อพนักงาน

จากตัวเลขขณะนี้ ธนาคารทหารไทย มีพนักงานประมาณ 5,970 คน ไอเอฟซีที มีพนักงาน 950 คน และ ดีบีเอส ไทยทนุ มีพนักงาน 1,620 คน เมื่อรวมกันจะทำให้มีพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 8,000 คน ซึ่งน้อยกว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีพนักงานประ-มาณ 10,900 คน

หลังจากควบรวมกิจการของสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่ง จะทำให้ธนาคารใหม่มีสาขารวมกัน 441 สาขา จากสาขาของธนาคารทหารไทย 365 สาขา ดีบีเอส ไทยทนุ 61 สาขา และ ไอเอฟซีที 15 สาขา ซึ่งใกล้เคียงกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งมีสาขา 492 สาขา ดังนั้นเชื่อว่าความซ้ำซ้อนคงไม่มี สำหรับสินทรัพย์หลังควบรวมจะอยู่ที่ 670,000 ล้านบาท สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง 11% และสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังจะอยู่ที่ประมาณ 39% กว่า หรือ 40% ต้นๆ

กระทรวงการคลัง ไม่มีนโยบายที่จะเข้าไปถือหุ้นในธนาคาร ที่ผ่านมาคลังและกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินเข้าไปทำการถือหุ้นในธนาคารต่างๆ เพราะต้องช่วยเหลือจากวิกฤตเศรษฐ-กิจปี 2540 ซึ่งทั้งคลังและกองทุนฟื้นฟูต้องคิดหาทางถอยกลับออกมาเมื่อสถาบันการเงินนั้นๆ มีความแข็งแกร่งขึ้นแล้วŽ นายสมหมาย กล่าว

ด้านการประเมินสินทรัพย์นั้น ขณะนี้ทั้ง 3 แห่งได้จ้างบริษัททำการประเมินอยู่ โดยทางดีบีเอส ไทยทนุ ได้จ้างบริษัท เจพี มอร์แกน ทหารไทยจ้าง บริษัท เอ็มเอสซี มอร์แกน แสตนเลย์ และ ไอเอฟซีที ได้จ้างที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) ของซิตี้กรุ๊ป เป็นผู้ประเมิน ซึ่งแต่ละแห่งจะต้องเสนอตัวเลขดังกล่าวในการหารือร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นของแต่ละแห่ง

นายสมหมาย กล่าวถึงสาเหตุที่กระทรวงการคลัง เปลี่ยนแผนการควบรวมกิจการจากไอเอฟซีที กับธนาคารไทยธนาคาร มาเป็นธนาคารทหารไทยกะทันหันนั้น มาจาก 2 ประการที่สำคัญ ได้แก่ เป็นนโยบายของรัฐบาลที่เห็นว่าการรวมกันระหว่างสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่ง มีความเกื้อกูลและเข้ากันได้ดีกว่า และตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Masterplan)

"การควบรวมระหว่างไอเอฟซีทีกับไทยธนาคาร จะทำให้มีทรัพย์สินรวมกันประมาณ 400,000 กว่า ขณะที่การควบรวม 3 สถาบันจะทำให้สินทรัพย์รวม สูงถึง 670,000 ล้านบาท กลายเป็นธนาคารขนาดใหญ่ ที่ให้บริการครบวงจร ตามกรอบแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน"

โบรกเกอร์แนะขายหุ้น BT

การควบรวมธนาคารทหารไทย ไอเอฟซีทีและดีบีเอสไทยทนุตามมติครม.อย่างกะทันหันครั้งนี้ ยังมีธนาคารที่มีส่วนได้ส่วนเสียอีกหนึ่งแห่งคือ ไทยธนาคาร ปรากฏว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ห้ามซื้อขายหุ้นเหมือน 3 สถาบันการเงินข้างต้น โดยหุ้นBT เคลื่อนไหวในแดนบวกอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดตลาดที่ 6.8 บาท และปิด 8.1 บาท หรือบวก 1.30 บาท คิดเป็น 19.12% โดยระหว่างวันขึ้นไปบวกสูงสุด 27% ทำสถิติหุ้นที่ให้ผลตอบแทนต่อหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ส่วนวานนี้ (21 ม.ค.) หุ้นไทยธนาคารกลับมาปิดในแดนลบโดยลดลงเหลือ 7.15 บาทต่อหุ้น ลบ 0.95 บาท หรือลดลง 11.73% ติดลบสูงสุดเป็นอันดับ 1 ตรงข้ามกับวันก่อน

โบรกเกอร์รายหนึ่งระบุว่า การเคลื่อนไหวราคา หุ้นในวันที่ 21 ม.ค. เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานของไทยธนาคาร ที่คาดว่าไม่ได้เป็นแกนนำและมีแนวโน้ม สูงที่จะถูกยุบรวมกับนครหลวงไทยหรือกรุงไทยที่ฐานะดีกว่า ส่วนที่ขึ้นไปบวกเมื่อวันที่ 20 ม.ค. น่าจะมีขบวนการซึ่งมีส่วนได้เสียกับหุ้นBT เข้าไปดันราคา คาดว่าจะเป็นผู้ที่มีหุ้นในไทยธนาคาร

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า เท่าที่จับตามองอย่างใกล้ชิด หุ้นBT ยังไม่ผิด ปกติ

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ไทยธนาคารประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2546 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้และยังไม่เห็นการพัฒนาในด้านของผลการดำเนินงานตามที่คาดหมายไว้ สินเชื่อยังคงหดตัวลง และมีการตั้งสำรองจำนวนมากกว่าที่คาดไว้มาก ยังคงแนะนำให้ขาย แต่ยังเป็นไปได้ที่ไทยธนาคารอาจได้รับผลบวกจากข่าวเรื่องการควบรวมที่ไม่มีชื่ออยู่ในกลุ่ม

"หลังจากที่ได้วิเคราะห์งบการเงินไตรมาส 4/2546 ของ BT แล้ว เราเห็นว่า BT ยังไม่มีการพัฒนาเกิดขึ้นในด้านของกำไรจากผลการดำเนินงานที่แท้จริงทำให้กำไรออกมาต่ำกว่าที่เราได้คาดการณ์เอาไว้ และในไตรมาสนี้ตั้งสำรองจำนวนค่อนข้างมากส่งผลให้เกิดขาดทุนจำนวนมากกว่าที่เราและตลาดได้คาดการณ์ไว้"

โดยหากดูด้านการขยายสินเชื่อก็จะเห็นได้ว่าสินเชื่อของ BT ในไตรมาส 4/46 ยังลดลงต่อเนื่องอีก 5.9% แสดงให้เห็นถึงปัญหาในเชิงความสามารถในการแข่งขันที่ยังอ่อนแออยู่เนื่องจากธนาคารอื่น ๆ สามารถขยายสินเชื่อได้แทบทั้งสิ้น และแม้ว่าต้นทุนทางการเงินจะลดลงได้มากถึง 52 เบสิกพอยต์(bps) แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้กำไรดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นได้มาก ทั้งนี้เนื่องจากอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (yield )นั้น ลดลงมากกว่า หรือลดลง 55bps ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนั้นทรงตัวอยู่ที่ 1.29%

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us