"สมหมาย ภาษี" แถลงอนาคตของธนาคารทหาร ไทย หลังรัฐบาลมีมติให้นำ "ไอเอฟซีที
-ดีบีเอสไทยทนุ" มาควบ รวม ตั้งเป้าเป็นธนาคารที่ให้บริการ ครบวงจร ลั่นไม่มีผลด้านลบต่อทั้งผู้ถือหุ้น
ผู้ฝากเงินและผู้กู้ ส่วนพนักงานยังน้อยเมื่อเทียบกับไทยพาณิชย์ ด้านการซื้อขายในตลาด
หลักทรัพย์กลับมาซื้อขายหุ้นได้ตามปกติตั้งแต่วันนี้ (22 ม.ค.) ย้ำ ขอให้นักลงทุนใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นTMB,IFCTและDTDB อย่างรอบคอบ ด้านหุ้น BT พลิกกลับมาติดลบสูงที่สุดเมื่อวานนี้
นายสมหมาย ภาษี รองปลัด กระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการบรรษัทเงินทุนอุต-
สาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) และประธานกรรมการธนาคารทหารไทย (TMB) ว่า เนื่องจากสถาบันการเงินทั้ง
3 แห่ง เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และแต่ละสถาบันก็จะมีการดำเนินการโดยคำนึงถึงผู้ถือหุ้นของแต่ละแห่ง
ดังนั้น การควบรวมกิจการจึงต้องเป็นไปตามกระบวนการของข้อบังคับของ ตลท. และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ซึ่งการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ จะต้องเป็นไปตามขั้นตามกฎ ระเบียบ และวิธีการควบรวมกิจการตามมาตรฐานสากล
ซึ่งจะมีผลสรุปที่ชัดเจนต่อไป
สำหรับการประกาศงดการซื้อขายหุ้นของ ธนาคารทหารไทย ไอเอฟซีทีและดีบีเอสไทยทนุที่มีผลตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่
20 มกราคม 2547 นั้น ทางตลาดหลักทรัพย์จะทำการประกาศเปิดการซื้อขายตามปกติในวันนี้
(22 ม.ค.) 2547
"เมื่อตลาดเปิดทำการซื้อขายตามปกติแล้ว ขอให้นักลงทุนใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจซื้อขายอย่างรอบคอบ"
นายสมหมายกล่าว
สำหรับการเคลื่อนไหวในราคาหุ้น 3 สถาบันการเงินก่อนที่จะงดการซื้อขาย ปรากฏว่า
ทันทีที่มติครม.ล้มแผนการควบรวมกิจการไทยธนาคาร (BT) กับไอเอฟซีทีและนำไอเอฟซีทีไปควบกับธนาคารทหารไทยและดีบีเอสไทยทนุ
เมื่อเวลา 13.00 น. ตลาดได้ห้ามซื้อขายหุ้น TMB,IFCTและDTDB ตั้งแต่เวลา 14.30
น.
โดยก่อนถูกแขวน ราคาหุ้น TMB เพิ่ม 25 สตางค์ เพิ่ม 4.58% หรืออยู่ที่ 5.70 บาท
IFCT ราคาไม่เปลี่ยนแปลงที่ 5.10 ส่วนหุ้น DTDB ราคาลด 0.5 บาท หรือ 0.99% ราคาอยู่ที่
5 บาท
นายสมหมายกล่าวถึงการเจรจาระหว่างธนาคารทหารไทยกับธนาคารดีบีเอสไทยทนุว่า มีการเจรจากันมาก่อนเป็นเวลานานแล้ว
รอเพียงการลงนามร่วมกัน
"คณะกรรมการของดีบีเอสไทยทนุ จะแจ้งให้ทราบได้ภายในสัปดาห์หน้า แต่สัดส่วนอาจลดลงจาก
ที่เคยเจรจากันไว้เหลือ 10% กว่า จากประมาณ 20% เนื่องจากมีข้อมูลใหม่ของการนำเอาไอเอฟซีทีมารวมด้วย"
นายสมหมายกล่าว
สำหรับผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ผู้ฝากเงิน และผู้กู้เงิน นายสมหมายกล่าวว่า เท่าที่ประเมินยังไม่เห็น
ผลกระทบต่อทั้ง 3 กลุ่ม ในส่วนของผู้ถือหุ้นจะมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว
หากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็ดำเนินการไม่ได้ ขณะที่หากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เห็นด้วย
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็สามารถขายหุ้นได้ นอกจากนี้ผลการควบรวมจะทำให้ธนาคาร มีความแข็งแกร่งขึ้น
มีนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุนมากขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต
นายสมหมาย กล่าวว่า ผู้ฝากเงินจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด บางแห่งอาจจะดีขึ้น โดยสามารถนำเอาตั๋วสัญญาใช้เงิน
(PN)มาเปลี่ยนเป็นเงินฝากในรูปปกติได้ ผู้กู้ยิ่งได้รับผลดีในรูปของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นประโยชน์มากขึ้น
สำหรับพนักงานกฎหมาย ได้มีข้อกำหนดอย่างชัดเจนว่า เมื่อควบรวมกันแล้ว พนักงานจะต้องไม่เสียสิทธิ์ลดลงจากที่เคยได้รับอยู่
ที่สำคัญธนาคารที่ให้บริการครบวงจรควรมีพนักงาน รองรับ จึงไม่น่ากระทบต่อพนักงาน
จากตัวเลขขณะนี้ ธนาคารทหารไทย มีพนักงานประมาณ 5,970 คน ไอเอฟซีที มีพนักงาน
950 คน และ ดีบีเอส ไทยทนุ มีพนักงาน 1,620 คน เมื่อรวมกันจะทำให้มีพนักงานทั้งสิ้นประมาณ
8,000 คน ซึ่งน้อยกว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีพนักงานประ-มาณ 10,900 คน
หลังจากควบรวมกิจการของสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่ง จะทำให้ธนาคารใหม่มีสาขารวมกัน
441 สาขา จากสาขาของธนาคารทหารไทย 365 สาขา ดีบีเอส ไทยทนุ 61 สาขา และ ไอเอฟซีที
15 สาขา ซึ่งใกล้เคียงกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งมีสาขา 492 สาขา ดังนั้นเชื่อว่าความซ้ำซ้อนคงไม่มี
สำหรับสินทรัพย์หลังควบรวมจะอยู่ที่ 670,000 ล้านบาท สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง
11% และสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังจะอยู่ที่ประมาณ 39% กว่า หรือ 40% ต้นๆ
กระทรวงการคลัง ไม่มีนโยบายที่จะเข้าไปถือหุ้นในธนาคาร ที่ผ่านมาคลังและกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินเข้าไปทำการถือหุ้นในธนาคารต่างๆ
เพราะต้องช่วยเหลือจากวิกฤตเศรษฐ-กิจปี 2540 ซึ่งทั้งคลังและกองทุนฟื้นฟูต้องคิดหาทางถอยกลับออกมาเมื่อสถาบันการเงินนั้นๆ
มีความแข็งแกร่งขึ้นแล้ว นายสมหมาย กล่าว
ด้านการประเมินสินทรัพย์นั้น ขณะนี้ทั้ง 3 แห่งได้จ้างบริษัททำการประเมินอยู่
โดยทางดีบีเอส ไทยทนุ ได้จ้างบริษัท เจพี มอร์แกน ทหารไทยจ้าง บริษัท เอ็มเอสซี
มอร์แกน แสตนเลย์ และ ไอเอฟซีที ได้จ้างที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor)
ของซิตี้กรุ๊ป เป็นผู้ประเมิน ซึ่งแต่ละแห่งจะต้องเสนอตัวเลขดังกล่าวในการหารือร่วมกัน
เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นของแต่ละแห่ง
นายสมหมาย กล่าวถึงสาเหตุที่กระทรวงการคลัง เปลี่ยนแผนการควบรวมกิจการจากไอเอฟซีที
กับธนาคารไทยธนาคาร มาเป็นธนาคารทหารไทยกะทันหันนั้น มาจาก 2 ประการที่สำคัญ ได้แก่
เป็นนโยบายของรัฐบาลที่เห็นว่าการรวมกันระหว่างสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่ง มีความเกื้อกูลและเข้ากันได้ดีกว่า
และตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Masterplan)
"การควบรวมระหว่างไอเอฟซีทีกับไทยธนาคาร จะทำให้มีทรัพย์สินรวมกันประมาณ
400,000 กว่า ขณะที่การควบรวม 3 สถาบันจะทำให้สินทรัพย์รวม สูงถึง 670,000 ล้านบาท
กลายเป็นธนาคารขนาดใหญ่ ที่ให้บริการครบวงจร ตามกรอบแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน"
โบรกเกอร์แนะขายหุ้น BT
การควบรวมธนาคารทหารไทย ไอเอฟซีทีและดีบีเอสไทยทนุตามมติครม.อย่างกะทันหันครั้งนี้
ยังมีธนาคารที่มีส่วนได้ส่วนเสียอีกหนึ่งแห่งคือ ไทยธนาคาร ปรากฏว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ห้ามซื้อขายหุ้นเหมือน
3 สถาบันการเงินข้างต้น โดยหุ้นBT เคลื่อนไหวในแดนบวกอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดตลาดที่
6.8 บาท และปิด 8.1 บาท หรือบวก 1.30 บาท คิดเป็น 19.12% โดยระหว่างวันขึ้นไปบวกสูงสุด
27% ทำสถิติหุ้นที่ให้ผลตอบแทนต่อหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ส่วนวานนี้ (21 ม.ค.)
หุ้นไทยธนาคารกลับมาปิดในแดนลบโดยลดลงเหลือ 7.15 บาทต่อหุ้น ลบ 0.95 บาท หรือลดลง
11.73% ติดลบสูงสุดเป็นอันดับ 1 ตรงข้ามกับวันก่อน
โบรกเกอร์รายหนึ่งระบุว่า การเคลื่อนไหวราคา หุ้นในวันที่ 21 ม.ค. เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานของไทยธนาคาร
ที่คาดว่าไม่ได้เป็นแกนนำและมีแนวโน้ม สูงที่จะถูกยุบรวมกับนครหลวงไทยหรือกรุงไทยที่ฐานะดีกว่า
ส่วนที่ขึ้นไปบวกเมื่อวันที่ 20 ม.ค. น่าจะมีขบวนการซึ่งมีส่วนได้เสียกับหุ้นBT
เข้าไปดันราคา คาดว่าจะเป็นผู้ที่มีหุ้นในไทยธนาคาร
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
เปิดเผยว่า เท่าที่จับตามองอย่างใกล้ชิด หุ้นBT ยังไม่ผิด ปกติ
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ไทยธนาคารประกาศผลประกอบการไตรมาส
4/2546 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้และยังไม่เห็นการพัฒนาในด้านของผลการดำเนินงานตามที่คาดหมายไว้
สินเชื่อยังคงหดตัวลง และมีการตั้งสำรองจำนวนมากกว่าที่คาดไว้มาก ยังคงแนะนำให้ขาย
แต่ยังเป็นไปได้ที่ไทยธนาคารอาจได้รับผลบวกจากข่าวเรื่องการควบรวมที่ไม่มีชื่ออยู่ในกลุ่ม
"หลังจากที่ได้วิเคราะห์งบการเงินไตรมาส 4/2546 ของ BT แล้ว เราเห็นว่า
BT ยังไม่มีการพัฒนาเกิดขึ้นในด้านของกำไรจากผลการดำเนินงานที่แท้จริงทำให้กำไรออกมาต่ำกว่าที่เราได้คาดการณ์เอาไว้
และในไตรมาสนี้ตั้งสำรองจำนวนค่อนข้างมากส่งผลให้เกิดขาดทุนจำนวนมากกว่าที่เราและตลาดได้คาดการณ์ไว้"
โดยหากดูด้านการขยายสินเชื่อก็จะเห็นได้ว่าสินเชื่อของ BT ในไตรมาส 4/46 ยังลดลงต่อเนื่องอีก
5.9% แสดงให้เห็นถึงปัญหาในเชิงความสามารถในการแข่งขันที่ยังอ่อนแออยู่เนื่องจากธนาคารอื่น
ๆ สามารถขยายสินเชื่อได้แทบทั้งสิ้น และแม้ว่าต้นทุนทางการเงินจะลดลงได้มากถึง
52 เบสิกพอยต์(bps) แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้กำไรดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นได้มาก ทั้งนี้เนื่องจากอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์
(yield )นั้น ลดลงมากกว่า หรือลดลง 55bps ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนั้นทรงตัวอยู่ที่
1.29%